วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ขบวนแห่งความสุข

ขบวนแห่งความสุข
หากใครที่ต้องอาศัยรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินเดินทางเพื่อไปทำงาน ไปทำธุระในตอนเช้า ๆ มักจะเห็นภาพที่ผู้คนอัดแน่นเต็มทุกขบวน บางคนถึงกับต้องรอแล้วรออีกกว่าจะมีที่ยืนบนขบวนรถ มีบ้างบางคนถึงกับตกขบวนไปทำงานสาย ก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่ช้าไม่นานเราจะมีเส้นทางคมนาคมที่มีทางเลือกมากขึ้น จะได้ทำให้หลาย ๆ คนมีที่ยืนอยู่บนขบวนรถที่สามารถนำเราไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีความสุข คนที่ยืนก็มักจะมองหาที่นั่ง คนที่นั่งมักจะทำเป็นมองไม่เห็นคนอื่น หรือเห็นแต่ทำเป็นเมินซึ่งต่างจากความเป็นจริงในชีวิตที่เราชอบมองดู(เพื่อจับผิด)คนอื่น
ในชีวิตคนเมืองความสุขมักถูกดูดกลืนหายไปกับความเจริญ หมดไปกับการถูกมองถูกตีค่าในสายตาคนอื่น และเราเองก็ติดนิสัยที่มักจะมอง จะตีความสุขของคนอื่นเพียงสายตาที่มองเห็น ไม่ได้ใช้ใจที่สัมผัสถึงคุณค่าของแต่ละคน ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าคนขายของข้างทางอาจจะมีความสุขมากกว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่บนรถคันหรูที่ติดอยู่กลางถนน แน่ล่ะ...อันความสุขของใครก็ของเขา เราไม่สามารถตีตราราคาได้ หากเปรียบเทียบการเดินทางในชีวิตเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนขบวนรถ เรามีที่ยืน เรามีความสุข เราเห็นความสุขคนอื่น หรือเราดูถูกคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเพื่อสร้างสุขเทียม ๆ ให้กับตัวเอง บ้างหรือเปล่า

ชารอนกับเพื่อนกำลังรอรถไฟใต้ดิน เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน จึงไม่ค่อยมีใครออกนอกบ้าน ด้วยเหตุนี้ สถานีรถไฟใต้ดินจึงค่อนข้างเงียบเหงา    ครู่หนึ่งขบวนรถไฟที่พวกเธอต้องการจะโดยสารก็เข้าเทียบชานชาลา ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตู้โดยสารด้วยกัน
ในตู้โดยสารก็เป็นเช่นเดียวกับที่สถานี    ผู้คนบางตาอย่างยิ่ง   ในขณะที่ชารอนกำลังนั่งเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับเต็มที เธอก็เห็นพ่อลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาในตู้โดยสาร  ผู้เป็นพ่อสวมแว่นตาดำ  ลูกชายเป็นคนจูงเดิน ท่าทางคงจะเป็นคนตาบอด   ลูกชายอายุยังน้อย  แต่กลับต้องเป็นผู้นำทางให้ผู้เป็นพ่อ ทั้งสองค่อยๆ เดินมาทีละก้าวอย่างช้าๆ  จนถึงบริเวณกลางช่องทางเดิน จึงหยุด
ชารอนเห็นสองพ่อลูกยืนนิ่งไม่ขยับก็ให้รู้สึกแปลกใจ  เพราะในรถมีที่นั่งว่างอยู่มากมาย    เหตุใดจึงต้องยืนด้วยเล่า?     รถไฟยังคงเคลื่อนที่ต่อไป เด็กชายเอ่ยขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกท่าน ผมชื่อโจอี้ ผมจะร้องเพลงให้ทุกท่านฟังสักสองสามเพลงครับ”
ในเวลานี้ผู้เป็นพ่อปลดหีบเพลงที่แบกอยู่บนบ่าลงมา และเริ่มบรรเลงคลอไปกับเสียงร้องอันกังวานใสของลูกชาย     ชารอนเข้าใจแล้ว ที่แท้พ่อลูกคู่นี้ก็คือวณิพกเร่ขายเสียงเพลง  ทว่า ไม่ว่าอย่างไรคนในตู้โดยสารก็ดูจะไม่สนใจ   พากันหลับใหลไปหมด    ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแม้แต่น้อย
หลังจากร้องจบไปหลายเพลง   เด็กชายผู้นั้นก็เดินมาที่หัวรถด้านหนึ่ง  เริ่มขอเรี่ยไรเงินจากผู้โดยสารทีละคน   ทว่า ในมือของเด็กชายหาได้มีอุปกรณ์ประเภทหมวกหรืออย่างอื่นไม่     อีกทั้งไม่ได้แบมือไปตรงหน้าผู้โดยสาร เขาเพียงแต่เดินมาหยุดตรงหน้าแล้วเรียกอย่างนอบน้อมว่า
“คุณผู้ชายครับ...คุณผู้หญิงครับ”
จากนั้นก็ยืนคอยเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งชารอนเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เงิน   เนื่องจากถูกหลอกมาหลายครั้งเต็มที  ไม่ว่าเป็นใครก็คงอดเอือมระอาไม่ได้    ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะให้เงิน ทุกคนต่างทำเป็นไม่มอง บ้างก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างไม่ช้านานเด็กชายก็เดินมาใกล้จะถึงชารอน    เธอพลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องเอะอะโวยวายขึ้น
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน     ไม่รู้ยังไงนะขอทานในลอนดอนถึงได้มากมายขนาดนี้  กระทั่งในรถไฟใต้ดินก็ยังมี...”
คราวนี้สายตาทุกคู่ต่างพุ่งไปยังสตรีวัยกลางคนที่ร้องเสียงแหลมผู้นี้เป็นตาเดียวกัน    เธอนั่งอยู่ข้างหน้า  ถัดจากชารอนไปเพียงแถวเดียว   เด็กคนนั้นดูสงบเยือกเย็นมาก หนูน้อยชี้แจงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ใช่ขอทาน ผมเป็นคนขายเสียงเพลง
วินาทีนั้นบรรยากาศภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ      ราวกับทุกอย่างเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง     หลังจากนั้นสายตาเย็นชาทุกคู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสายตาอันอบอุ่น  มีเสียงคนปรบมือนำขึ้นมา   จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นกึกก้อง จากนั้นชารอนก็ลุกขึ้นวางธนบัตรใบหนึ่งลงบนมือของหนูน้อยอย่างสุภาพโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการให้ทาน (จาก Page เรื่องดีๆ มีข้อคิด)


 ความสุขแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้เสมอนั่นคือ การที่เราหยุดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หยุดที่จะดูคนเพียงแค่ภายนอก ให้คุณค่ากับทุกชีวิต แล้วชีวิตเราจึงจะมีคุณค่า ในสังคมที่หลายหลาก เราจำเป็นต้องหาความสุขให้พบ การมองสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาด้วยหัวใจ เราจึงจะเข้าใจ และสนใจผู้คนได้ ในขบวนรถของชีวิตเราแต่ละคน ต่างต้องพบเจอ พูดคุย รู้จักกับคนมากมาย หลายช่วงเวลา บางครั้งมีบ้างที่ตกอยู่ในขบวนรถที่เต็มแน่น เป็นสถานการณ์ชีวิตเลวร้าย  เป็นสิ่งที่เราจนปัญญาจะควบคุมได้   แน่ล่ะ...คงไม่มีใครอยากประสบความล้มเหลว  ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตอยู่ยากลำบาก ท่ามกลางสายตาคนรอบข้างที่มองเรา  ย่อมเปลี่ยนไปในสภาพเช่นนี้เราจะมีความสุขและความเบิกบานใจได้อย่างไร??? ยิ่งเราแคร์สายตาคนอื่นมากไป กังวลกับความคิดของคนอื่นเกินงาม เราย่อมจะเจอแต่ความอึดอัด หงุดหงิด เราจะต้องหวนกลับมาทำให้ขบวนชีวิตนี้เป็นขบวนรถที่เดินทางไปพร้อมกับความสุข อย่าปล่อยให้สายตาคนอื่น ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเรา ทำจิตใจของเราให้มองหาคุณค่ากับทุกสรรพสิ่งสร้าง ทำหัวใจให้ยากจน ทำหัวใจให้บริสุทธิ์ เพราะผู้ใดที่มีใจยากจนและบริสุทธิ์ย่อมเป็นสุข เมืองสวรรค์เป็นของเขา 

ไม่มีความคิดเห็น: