ขบวนแห่งความสุข
หากใครที่ต้องอาศัยรถไฟฟ้า
รถไฟใต้ดินเดินทางเพื่อไปทำงาน ไปทำธุระในตอนเช้า ๆ
มักจะเห็นภาพที่ผู้คนอัดแน่นเต็มทุกขบวน บางคนถึงกับต้องรอแล้วรออีกกว่าจะมีที่ยืนบนขบวนรถ
มีบ้างบางคนถึงกับตกขบวนไปทำงานสาย
ก็ได้แต่หวังว่าอีกไม่ช้าไม่นานเราจะมีเส้นทางคมนาคมที่มีทางเลือกมากขึ้น จะได้ทำให้หลาย
ๆ คนมีที่ยืนอยู่บนขบวนรถที่สามารถนำเราไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีความสุข คนที่ยืนก็มักจะมองหาที่นั่ง
คนที่นั่งมักจะทำเป็นมองไม่เห็นคนอื่น
หรือเห็นแต่ทำเป็นเมินซึ่งต่างจากความเป็นจริงในชีวิตที่เราชอบมองดู(เพื่อจับผิด)คนอื่น
ในชีวิตคนเมืองความสุขมักถูกดูดกลืนหายไปกับความเจริญ
หมดไปกับการถูกมองถูกตีค่าในสายตาคนอื่น และเราเองก็ติดนิสัยที่มักจะมอง จะตีความสุขของคนอื่นเพียงสายตาที่มองเห็น
ไม่ได้ใช้ใจที่สัมผัสถึงคุณค่าของแต่ละคน
ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าคนขายของข้างทางอาจจะมีความสุขมากกว่าผู้บริหารบริษัทใหญ่บนรถคันหรูที่ติดอยู่กลางถนน
แน่ล่ะ...อันความสุขของใครก็ของเขา เราไม่สามารถตีตราราคาได้
หากเปรียบเทียบการเดินทางในชีวิตเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนขบวนรถ เรามีที่ยืน
เรามีความสุข เราเห็นความสุขคนอื่น
หรือเราดูถูกคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเพื่อสร้างสุขเทียม ๆ ให้กับตัวเอง
บ้างหรือเปล่า
ชารอนกับเพื่อนกำลังรอรถไฟใต้ดิน
เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน จึงไม่ค่อยมีใครออกนอกบ้าน ด้วยเหตุนี้
สถานีรถไฟใต้ดินจึงค่อนข้างเงียบเหงา
ครู่หนึ่งขบวนรถไฟที่พวกเธอต้องการจะโดยสารก็เข้าเทียบชานชาลา
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตู้โดยสารด้วยกัน
ในตู้โดยสารก็เป็นเช่นเดียวกับที่สถานี ผู้คนบางตาอย่างยิ่ง ในขณะที่ชารอนกำลังนั่งเคลิ้มๆ
ใกล้จะหลับเต็มที เธอก็เห็นพ่อลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาในตู้โดยสาร ผู้เป็นพ่อสวมแว่นตาดำ ลูกชายเป็นคนจูงเดิน
ท่าทางคงจะเป็นคนตาบอด
ลูกชายอายุยังน้อย แต่กลับต้องเป็นผู้นำทางให้ผู้เป็นพ่อ
ทั้งสองค่อยๆ เดินมาทีละก้าวอย่างช้าๆ
จนถึงบริเวณกลางช่องทางเดิน จึงหยุด
ชารอนเห็นสองพ่อลูกยืนนิ่งไม่ขยับก็ให้รู้สึกแปลกใจ เพราะในรถมีที่นั่งว่างอยู่มากมาย เหตุใดจึงต้องยืนด้วยเล่า? รถไฟยังคงเคลื่อนที่ต่อไป
เด็กชายเอ่ยขึ้นว่า
“สวัสดีครับคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกท่าน
ผมชื่อโจอี้ ผมจะร้องเพลงให้ทุกท่านฟังสักสองสามเพลงครับ”
ในเวลานี้ผู้เป็นพ่อปลดหีบเพลงที่แบกอยู่บนบ่าลงมา
และเริ่มบรรเลงคลอไปกับเสียงร้องอันกังวานใสของลูกชาย ชารอนเข้าใจแล้ว
ที่แท้พ่อลูกคู่นี้ก็คือวณิพกเร่ขายเสียงเพลง
ทว่า ไม่ว่าอย่างไรคนในตู้โดยสารก็ดูจะไม่สนใจ พากันหลับใหลไปหมด ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแม้แต่น้อย
หลังจากร้องจบไปหลายเพลง เด็กชายผู้นั้นก็เดินมาที่หัวรถด้านหนึ่ง เริ่มขอเรี่ยไรเงินจากผู้โดยสารทีละคน ทว่า ในมือของเด็กชายหาได้มีอุปกรณ์ประเภทหมวกหรืออย่างอื่นไม่ อีกทั้งไม่ได้แบมือไปตรงหน้าผู้โดยสาร
เขาเพียงแต่เดินมาหยุดตรงหน้าแล้วเรียกอย่างนอบน้อมว่า
“คุณผู้ชายครับ...คุณผู้หญิงครับ”
จากนั้นก็ยืนคอยเงียบๆ
อยู่ครู่หนึ่งชารอนเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เงิน
เนื่องจากถูกหลอกมาหลายครั้งเต็มที
ไม่ว่าเป็นใครก็คงอดเอือมระอาไม่ได้
ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะให้เงิน ทุกคนต่างทำเป็นไม่มอง
บ้างก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างไม่ช้านานเด็กชายก็เดินมาใกล้จะถึงชารอน เธอพลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องเอะอะโวยวายขึ้น
“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ไม่รู้ยังไงนะขอทานในลอนดอนถึงได้มากมายขนาดนี้ กระทั่งในรถไฟใต้ดินก็ยังมี...”
คราวนี้สายตาทุกคู่ต่างพุ่งไปยังสตรีวัยกลางคนที่ร้องเสียงแหลมผู้นี้เป็นตาเดียวกัน เธอนั่งอยู่ข้างหน้า ถัดจากชารอนไปเพียงแถวเดียว เด็กคนนั้นดูสงบเยือกเย็นมาก
หนูน้อยชี้แจงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ใช่ขอทาน
ผมเป็นคนขายเสียงเพลง”
วินาทีนั้นบรรยากาศภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ ราวกับทุกอย่างเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
หลังจากนั้นสายตาเย็นชาทุกคู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสายตาอันอบอุ่น มีเสียงคนปรบมือนำขึ้นมา จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นกึกก้อง
จากนั้นชารอนก็ลุกขึ้นวางธนบัตรใบหนึ่งลงบนมือของหนูน้อยอย่างสุภาพโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการให้ทาน
(จาก
Page เรื่องดีๆ มีข้อคิด)
ความสุขแบบง่าย ๆ
ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้เสมอนั่นคือ การที่เราหยุดที่จะวิพากษ์วิจารณ์
หยุดที่จะดูคนเพียงแค่ภายนอก ให้คุณค่ากับทุกชีวิต แล้วชีวิตเราจึงจะมีคุณค่า
ในสังคมที่หลายหลาก เราจำเป็นต้องหาความสุขให้พบ การมองสิ่งต่าง ๆ
ที่ผ่านเข้ามาด้วยหัวใจ เราจึงจะเข้าใจ และสนใจผู้คนได้
ในขบวนรถของชีวิตเราแต่ละคน ต่างต้องพบเจอ พูดคุย รู้จักกับคนมากมาย หลายช่วงเวลา บางครั้งมีบ้างที่ตกอยู่ในขบวนรถที่เต็มแน่น
เป็นสถานการณ์ชีวิตเลวร้าย เป็นสิ่งที่เราจนปัญญาจะควบคุมได้ แน่ล่ะ...คงไม่มีใครอยากประสบความล้มเหลว ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตอยู่ยากลำบาก
ท่ามกลางสายตาคนรอบข้างที่มองเรา
ย่อมเปลี่ยนไปในสภาพเช่นนี้เราจะมีความสุขและความเบิกบานใจได้อย่างไร???
ยิ่งเราแคร์สายตาคนอื่นมากไป กังวลกับความคิดของคนอื่นเกินงาม
เราย่อมจะเจอแต่ความอึดอัด หงุดหงิด
เราจะต้องหวนกลับมาทำให้ขบวนชีวิตนี้เป็นขบวนรถที่เดินทางไปพร้อมกับความสุข
อย่าปล่อยให้สายตาคนอื่น ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเรา
ทำจิตใจของเราให้มองหาคุณค่ากับทุกสรรพสิ่งสร้าง ทำหัวใจให้ยากจน
ทำหัวใจให้บริสุทธิ์ เพราะผู้ใดที่มีใจยากจนและบริสุทธิ์ย่อมเป็นสุข
เมืองสวรรค์เป็นของเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น