วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หน้า กาก ๆ

หน้า กาก ๆ
การเดินทางไปยังต่างที่ต่างถิ่น มีสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คน มักจะคิดเหมือนกัน คือ เที่ยวตามหาของฝาก บางทีบางคนหมดเวลาไปครึ่งค่อนวันกับสิ่งเหล่านี้ หมดเวลากับการจ่อมจมอยู่ในร้านขายของที่ระลึก บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า มาเที่ยวตั้งไกลไฉนมาซุ่มอยู่ในร้านเล็ก ๆ สิ่งรอบกายที่แปลกตาตื่นใจกลับมองข้ามกันไป แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นรสนิยม เป็นสไตล์ส่วนตัวของใครของมัน นั่นอาจจะเป็นความสุขในการท่องเที่ยวของคน ๆ นั้นก็ได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่มักชอบไปมองดู (แต่ไม่เคยซื้อ) ซึ่งในร้านขายของที่ระลึกเหล่านั้น ก็จะมีมุมหนึ่งที่ขายหน้ากาก ในแต่ละที่แต่ละถิ่นก็มีหน้าตา มีสีสัน มีอารมณ์ ในหน้ากากนั้นแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือ เอาไว้ใส่ชั่วครั้งชั่วคราว สร้างอารมณ์ครื้นเครง และก็เก็บเกี่ยวไว้เป็นที่ระลึก

เวลาที่เรามองดูหน้ากากนั้น ก็มักจะมองมุมกลับมาในสังคมที่เราอยู่ ใช่หรือไม่ เราล้วนต่างก็สวมใส่หน้ากากเข้าหากัน เป็นหน้ากากที่เผยโฉมได้อย่างแนบเนียน จนเป็นหนึ่งเดียวกับใบหน้าที่แท้จริง หลายครั้งเราถูกปลูกฝังว่าต้องตีหน้าแบบนี้ ทำหน้าแบบนั้น เพื่อให้ถูกจริตส่วนรวม เมื่อทำกันไปนาน ๆ เข้า ก็กลายเป็นว่าหน้ากากนั้นเป็นหน้าของเราจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่หน้าแบบนั้นคือหน้าของการเสแสร้ง เราถูกสร้างให้เป็น “มนุษย์หน้ากาก”  จนฝังรากลึกลงไปในหัวใจของคนในสังคม
สังคมทุกวันนี้มีแต่การหลอกลวง คนดีนั้นผิด...คนชั่วกลับลอยนวล  ความดีเลือนหายไป ความชั่วร้ายก้าวเข้ามาแทน  ทำตัวเสแสร้ง....ซ่อนอยู่ในสังคม
หน้ากากที่แสนดีปกปิดเงื่อนซ่อนงำไว้... ลึก ๆ ข้างในคือสัตว์ร้ายที่โสมม
ได้แต่มอง..ได้แต่ลุ้นให้คนอื่นเขาล้ม ได้แต่คิดภาวนาให้คนอื่นเขาล่มจม..นี่ล่ะหนาความระยำของมนุษย์ชน มันช่างวกวนซับซ้อนเงื่อนงำ..แต่คนที่ไม่ขำมันก็คือพวกเรา เพราะเรานั้นรู้ว่าใต้หน้ากากใบนี้..มันไม่จริง(หนึ่งในถ้อยคำของผู้สร้างสรรค์งานเพลงนิรนาม)
ในสังคมมนุษย์เรา ทุกหมู่เหล่ากำลังหันมาสวมใส่หน้ากากที่มีสีสันสวยงาม และเป็นหน้ากากที่มีรอยยิ้มสดใสที่ประดับประดาไปด้วยสิ่งจอมปลอมที่ถูกเรียกกันว่า คุณธรรม “จริยธรรม” เคลือบบางเบาอยู่บนเปลือกนอก แต่กลับละเลยเนื้อหาสาระแก่นแท้ในความดีงาม ใช้เป็นเพียงสิ่งเทียมทนให้คนได้สรรเสริญยกย่อง ทำความดีมีคุณธรรมเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น พอลับหลัง ความดีงามนั้นกลับไม่ใช่ของจริงของแท้ ที่จะช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณให้เจริญเติบโตขึ้น
ยิ่งเราอยู่ในสังคมที่เคลือบเพียงแต่กรอบของวัฒนธรรม กรอบของธรรมเนียมปฏิบัติ กรอบของค่าวัตถุนิยมแล้ว เรากลับไปยึดมั่นกรอบเหล่านี้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่กลับไปพยายามทำตามในสิ่งที่สังคมบอก ทำตามสิ่งที่สังคมนิยมชมชอบ ทำตามสิ่งที่สังคมชี้นำ มันเหมือนว่าเราไม่เคารพตัวเอง เมื่อคนคนหนึ่งไม่เคารพตัวเอง เขาก็คงจะไม่สามารถรักตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้วเช่นนี้เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร ยิ่งเราใส่หน้ากากเข้าหากันมากเท่าไหร่ ความเมตตาที่มีให้กันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในสังคม
มีคนเคยกล่าวว่า “มนุษย์เราต้องก้าวไปข้างหน้า” เราจึงพัฒนาวัตถุ พัฒนาสังคมบนวัตถุแล้วเราก็เดินตามวัตถุ เราสร้างค่าให้วัตถุแล้วเราก็หลงใหลไปในวัตถุ จนถึงวันนี้วันที่เราพัฒนาตนเองอย่างถึงที่สุด แล้วเราก็หลงตัวเอง พยายามสร้างค่าให้ตัวเองแล้วเราก็หลอกตัวเอง ด้านหนึ่งเราก็หาทางเพื่อจะหนีความรู้สึกของตัวเองแต่เราก็วางกับดักไว้ให้ตัวเอง จนไม่มีทางออก ความสับสนวุ่นวายจึงกลายเป็นมรดกทางวัตถุที่เราสะสม ปลูกฝังกันมา คุณค่าทางจิตใจเป็นสิ่งไร้ความหมายในสายตาของคนยุคใหม่ ที่ไร้ความจริงใจต่อกัน เราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความหลอกลวง เรามีสิ่งจอมปลอมเป็นเครื่องมือพัฒนา แล้วมันใช่หรือ..!!!!
หน้ากากโดยส่วนมากมักไม่ใช่หน้ากากที่สวยงาม ส่วนมากมักเป็นหน้ากากปีศาจ หน้ากากแฟนตาซี แล้วหน้ากากของคนส่วนใหญ่ที่สวมใส่นั้น หลายคนหลงว่าคือหน้ากากที่สวยงาม หน้ากากพระเอกนางเอก จนคนบางคนสวมใส่หน้ากากไว้หลาย ๆ ชั้นเพื่ออำพรางใบหน้าที่แท้จริง เพื่อให้เข้ากับสังคม เพื่อต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้ยืนอยู่ในสังคม และเมื่อถึงเวลาต้องถอดหน้ากากออกทีละชั้น ๆ ในวันที่ต้องแสดงจุดยืนจุดหนึ่งของตน สิ่งที่อยู่ข้างในหน้ากากนั้นก็ยังเป็นหน้ากากอยู่วันยังค่ำ เป็นหน้า กาก ๆ ในความจอมปลอม ไม่มีใบหน้าที่แท้จริงแต่อย่างใด จนกระทั่งแม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้วว่า แท้จริง เราเป็นคนแบบไหนกันแน่

แต่ใช่ว่าโลกนี้จะเต็มไปด้วยความจอมปลอม เรายังมีความจริง คนจริงใจ ทำความดีอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยสวมใส่หน้ากากยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากหน้ากากและปฏิเสธสิ่งเย้ายวน มายาภาพของหน้ากากนั้น   พวกเขายังสามารถยิ้มและหัวเราะได้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสกลั่นออกมาจากใจได้จริงๆ และสามารถอุทิศให้ มีเมตตาด้วยความจริงใจ ทำความดีโดยมิหวังสิ่งตอบแทน คนเหล่านี้มีความสุขอยู่ในมุมเล็ก ๆ ที่แต่ละคนมีใบหน้าผ่องใส เป็นใบหน้าที่งามตามธรรมชาติ ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกังวลว่าจะหยิบหน้ากากไหนมาสวมใส่ และไม่ต้องกลัวว่าจะหยิบหน้ากากผิดงานมาใส่

ในวันเวลาแบบนี้ สังคมเราต้องการความจริงใจต่อกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ เราต้องถอดหน้ากากที่เรียกกันว่า “ความเสแสร้ง” ออกและทิ้งไปอย่างถาวร ร่วมกันสร้างสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ให้สังคมของเราทุกคนคงเหลือเพียงมนุษย์แท้ ๆ ที่ปราศจากหน้ากาก ๆ และสร้างรอยยิ้มอันสดใสสวยงามที่เปล่งออกมาจากใจให้แก่กันและกัน ไปจนตราบกาลนาน เราต้องเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเอง ทำให้ตัวเรามีความสุขกายสบายใจ จริงใจต่อตัวเอง ผู้ที่อยากมีความสบายใจคือผู้ที่ถ่อมตนเพื่อรับใช้ผู้อื่น นี่ต่างหากหน้าตาที่แท้จริงที่เราควรหันมามองใส่กันและกัน อย่าให้หน้ากาก ๆ เข้าครอบครองใบหน้าอันงดงามของเราเลย...

ไม่มีความคิดเห็น: