วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความงามบนแผ่นหิน

ความงามบนแผ่นหิน
การเยี่ยมชมปราสาทใหญ่โตมากมายในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา (เขมร) คือ สถานที่เป้าหมายสำหรับการท่องโลกกว้างในครั้งนี้ เป็นการมาเยือนกัมพูชาอีกครั้งหลังจากเคยมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในครั้งนั้นเดินทางไปที่กรุงพนมเปญ และได้รับรู้ถึงความทุกข์ของมนุษยชนคนชาติเดียวกันที่ต้องมาเข่นฆ่ากัน ทิ้งรอยเจ็บช้ำไว้ให้คนรุ่นหลัง ได้เคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง “จากกัมพูชามาติมอร์ส่อถึงใจคน (บทเรียนซ้ำ ๆ ของอารยชน)”  เมื่อปี 2002 ในตอนหนึ่งว่า “ใครที่เคยไปประเทศกัมพูชา ย่อมรับรู้ถึงบาดแผลแห่งสงครามได้ดี อนุสรณ์ของความสูญเสียยังคงอยู่ ฝังลึกลงในจิตใจของชาวเขมร คุกตุลสแลง ทุ่งสังหาร คือแผลเป็นในใจของพวกเขา ยากที่จะลืม หัวกะโหลก เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้มาเยือนมีทัศนคติที่ดี มีความเข้าใจ เห็นใจถึงความเป็นอยู่ของชาวเขมร.....

ประเทศที่เต็มไปด้วยศิลปะอันงดงาม ปฎิมากรรมอันอ่อนช้อย บ่งบอกถึงจิตใจอันอ่อนไหวของผู้คน ประเทศที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปะเช่นนี้ ทำไมวันหนึ่ง.. ต้องพบกับความทารุณโหดร้าย แน่นอนความไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงไม่มี มีแต่ผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวจึงเข้ามาแทนที่จิตวิญญาณแห่งความอ่อนไหวจนหมดสิ้น...”
กลับมานั่งอ่านบทความเก่าที่เขียนไว้ถึงความเป็นอยู่ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งในครั้งกระโน้นก็คิดว่า “อยากจะเดินทางมาเยี่ยมชมปราสาทนครวัด นครธม” ที่เมืองเสียมเรียบเหมือนกัน แต่ถนนหนทางไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับมานอนที่พนมเปญ จึงมีโอกาสเพียงไปรับรู้ผลของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในกรุงพนมเปญเท่านั้น
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปในรอบ 10 กว่าปีการพัฒนาในประเทศเพื่อนบ้านก็พัฒนาขึ้นมามากเป็นลำดับ จากความทุกข์เข็ญ ค่อย ๆ เริ่มต้นพัฒนาขึ้น ถนนจากเมืองหนึ่งสู่เมืองหนึ่งจึงได้รับการสร้างให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ในครั้งนี้เดินทางเข้าเขมรผ่านตรงชายแดนจังหวัดสระแก้ว มุ่งสู่เมืองเสียมเรียบ ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง และแน่นอนอย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความข้างต้นว่า ความทุกข์ที่เกิดจากสงครามกลางเมืองสร้างรอยแผลในจิตใจของผู้คนชนเขมรมาอย่างยาวนาน ในทุกพื้นที่ไม่เว้นในจังหวัดเสียมเรียบแห่งนี้ ผู้นำเที่ยวจึงนำพวกเราไปสัมผัสถึงความสาหัสแห่งสงครามของชนชาติของเขา ที่ยังคงทิ้งร่องรอยทุกข์ไว้อย่างไม่มีวันจางหาย ถูกจารึกหยั่งรากลึกลงในจิตใจของประชาชนคนเขมร ถือว่าเป็นความขมขื่นที่ย้ำเตือนใจให้ผู้มาเยือนให้รู้รักถิ่นฐาน มีความสามัคคี อย่าทำให้สังคมแตกแยกด้วยเพียงเพราะอำนาจบาตรใหญ่
และแน่นอนมาเมืองแห่งนี้ สิ่งที่เราใฝ่ฝันอยากจะเห็นอยากจะสัมผัสสักครั้งนั่นก็คือ “ปราสาท” ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในเมืองแห่งนี้ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว แสงแดดที่แผดส่องลงมาในยามสาย ๆ ตลอดจนเที่ยงยันบ่ายแก่ ๆ กับการเดินชมความงามและความวิจิตรตระการตาของมรดกโลก ทำให้เราได้รับรู้ถึงความเชื่อ แรงศรัทธา ที่ชนชาติหนึ่งมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนเกิดเป็นสิ่งสร้างที่มหัศจรรย์ ก้อนหินแต่ละก้อนที่ถูกเคลื่อน เลื่อน ซ้อนทับกันทีละชั้นทีละชั้น จนเป็นขั้นเป็นเหลี่ยมเป็นมุม จากนั้นก็สกัด แกะกะเทาะออก ให้เกิดเป็นลวดลาย เกิดเป็นเรื่องราวอันประณีตงดงาม ที่บอกเล่าถึงแรงศรัทธา ปราสาทที่สร้างขึ้นส่วนมากเพื่อบูชาต่อทวยเทพกษัตริย์ผู้ปกครอง ผู้สร้างความเจริญเติบโตของอาณาจักร ไม่ต่างกับการสร้างตึกสร้างอาคารของยุคนี้ที่เป็นเครื่องแสดงถึงเมืองที่พัฒนา แต่ยุคนั้นสร้างบนฐานแห่งศรัทธา ยุคนี้สร้างบนฐานแห่งเศรษฐกิจ มีสิ่งที่แตกต่างกันอีกอย่างหนึ่งคือในแต่ละปราสาทมักบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ความเป็นอยู่ สภาพบ้านเมือง มีทั้งที่สลักลายลักษณ์อักษร เป็นรูปปั้น จดจารเป็นตำนาน ให้คนรุ่นหลัง รุ่นเราได้เรียนรู้ ให้เราได้ศึกษาถึงความงามและความหมั่นเพียรบันทึกเหล่านี้คือความงามบนแผ่นหินนั่นเอง
การสลักความงามบนแผ่นหินย่อมคงทนมากกว่าการขีดเขียนลงบนแผ่นดินพื้นทราย หรือบันทึกไว้บนกระดาษ ซึ่งหลายชนชาติเลือกที่จะใช้กัน และมักสูญหาย เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เป็นความรู้สึกยามเมื่อกำลังเดินชมภายในปราสาทเหล่านั้น และยังสะท้อนให้ไตร่ตรองถึงการมีชีวิตอยู่ของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเลือกได้ใช่ไหมว่าเราจะบันทึกความดี ความงามของชีวิตเราลงแผ่นหิน และเขียนระบายเรื่องราวร้าย ๆ ลงบนพื้นทราย ให้มันละลายหายไป เมื่อลมมา น้ำพัดสาด เราเลือกที่จะสร้างความดีให้คงทน ลบลืมเรื่องราวร้าย ๆ คำพูดที่ไร้ค่าให้หายไปจากชีวิต เราเลือกที่จะสร้างฐานชีวิตให้แข็งแกร่งดุจศิลา ด้วยศรัทธาในความดีมีเมตตาต่อคนอื่น เราเลือกได้ที่จะสลักความงามลงในจิตใจ เราเลือกได้ที่จะพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อเป็นเครื่องบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่อพระผู้สร้าง


ใช่หรือไม่ ใครสร้างบ้านบนแผ่นหินย่อมทนทานกว่าการสร้างบ้านลงบนพื้นทราย แล้ววันเวลาที่ผ่านมา ในวันเวลาที่กำลังเคลื่อนเลื่อนมาหาเรานั้น เราได้สร้าง จารึกอะไรไว้บนแผ่นหินบนศิลาแห่งชีวิตนี้บ้าง มีเรื่องราวความงามฝากไว้ให้ใครได้จดจำบ้างหรือยัง!!! ที่สำคัญความดีที่เราทำนั้นหากได้บันทึกไว้ในใจคนย่อมมีค่าและควรคู่มากกว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งสิ้น ในด้านหนึ่งที่ควรคำนึงถึง ในแต่ละวัน ย่อมมีความทุกข์ท้อจากตัวเรา จากคนรอบข้าง จากสังคม เราควรที่จะปล่อยให้หลุดหายไปบ้าง ปล่อยทิ้ง ปล่อยวางลงบ้าง  อย่าทำให้เป็นภาระที่หนักทับหลังในการเดินทางของเรา หรือไม่เราต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาแกะสลัก ขัดเกลาให้งดงาม กลายเป็นฤทธิ์กุศลสร้างความเข้มแข็งให้ชีวิตเรา แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้น แต่เราต้องพยายาม คิดดูเถอะ...ขนาดแผ่นหินบนภูเขาคนรุ่นก่อนยังสกัดขัดเกลาสร้างปราสาทใหญ่โตได้ แล้วสำหาอะไรกับแค่ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต จะทำให้กลายเป็นเรื่องความดีมีเมตตาต่อกันไม่ได้เล่า เพื่อว่าความดีของเราจะช่วยให้จิตใจของเราเป็นปราสาทราชวังที่งดงามถวายให้แด่พระเจ้า เราพร้อมที่จะพยายามลงมือขัดเกลา สลักรัก ก่อร่างสร้างขึ้นมาบนก้อนแข็งกร้าวของจิตใจเราหรือยัง...

ไม่มีความคิดเห็น: