วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผิดพลาดหน้าจอ

ผิดพลาดหน้าจอ
ช็อกโลก สำหรับการประกวดนางงามจักรวาล Miss Universe 2015 เมื่อช่วงสายของวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย เมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศผลรางวัลผิด โดยให้มิสจากประเทศโคลอมเบียได้มงกุฎ มีการมอบสายสะพายสวมมงกุฎกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ถึง 5 นาที มีการประกาศขออภัย เพราะเกิดความผิดพลาดผู้ชนะที่แท้จริงคือคนงามจากฟิลิปปินส์ ท่ามกลางความงวยงงของคนทั้งโลก พิธีกรออกมาขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แล้วรายการก็ตัดจบลงไปดื้อ ๆ คงเป็นความบังเอิญที่กำลังจะเริ่มต้นเขียนบทความนี้ เพราะต้องส่งต้นฉบับเร็วกว่าทุกครั้ง จึงเปิดรายการข่าวไว้เพื่อที่จะดูข่าวสารจากทั่วโลก แต่ช่องที่กำลังดูนั้นมักง่ายไปหน่อย กลับไปถ่ายทอดข่าวแบบไม่คิดที่จะลงทุนหรือทำให้กระชับ สรุปประเด็น เล่นถ่ายทอดยาวเป็นสิบนาที เกิดอาการหงุดหงิดต้องเปลี่ยนช่อง เห็นมีการถ่ายทอดสดจากเวทีประกวดนี้ เลยเปิดทิ้งไว้ จนกระทั่งได้ยินการประกาศผลที่ผิดพลาด
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ได้เห็นความผิดพลาดของคน ๆ เดียวส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลก คนที่น่าสงสารที่สุดคือสาวงามจากประเทศโคลอมเบียที่ฝันของเธอกำลังถึงฝั่ง กำลังจะขึ้นมายืนอย่างสง่า ต้องถูกผลักลงตกน้ำตกท่า ยืนงงน้ำตาซึม ไหนจะคนในประเทศโคลอมเบียอีกเล่าที่กำลังจะมีความสุข กำลังชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า แต่แล้ว ฝันมันก็สลายลงในพริบตา กลายเป็นความสับสนงวยงง เป็นความทุกข์รวมกันอีกครั้ง มีไม่น้อยที่ต้องสบถด่าทอออกมา จากความงามกลายเป็นความทรามต่ำช้า เป็นความเกลียดชังฝังในจิตใจของคนนับล้าน เพียงผลจากการพลาดครั้งเดียว... สาวงามชาวฟิลิปปินส์เล่า เธอคงไม่ได้ชื่นชมยินดีอย่างเต็มที่นัก ที่เห็นเพื่อนนางงามต้องมารับทุกขลาภต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น นี่คือเวทีความงามหรือเวทีสร้างความหยามเหยียดกันแน่ นี่คือ “มืออาชีพ”หรือแค่ “คืออาชีพ” หนึ่งเท่านั้น และไม่ว่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราต้องนำมาเป็นบทเรียนคือการแก้ปัญหาจากความผิดพลาด การแก้ไขที่จะนำไปสู่การให้อภัย นำความงามกลับมาสู่สังคมให้ได้ อันนี้สำคัญมากกว่าที่เราต้องมาทบทวนร่วมกัน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลังจากที่เธอร้องไห้หนักมากบนเวทีที่ดับฝันกลางอากาศของเธอในค่ำคืนนั้น เธอได้เขียนข้อความจากใจถึงแฟน ๆ ว่า “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผลของมัน และเธอก็มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ขอบคุณทุกๆคน” และสิ่งนี้ที่ทำให้เธอได้รับกำลังใจอย่างล้นหลามในการข้ามก้าวผ่านฝันร้ายนี้ไปได้ ทำให้คิดถึงข้อความสั้น ๆ นี้
Wise men learn from others’ mistake fools by their own.
คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นคนโง่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
การที่คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จนั้นมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาด และนำข้อผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อให้เรามุ่งสู่ความสำเร็จ เหมือนดัง โทมัสเอดิสัน นักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา เมื่อเขาเริ่มเรียนในพอร์ตฮูรอนในมิชิแกน ครูของเขาบ่นว่า เขาเรียนช้าเกินไป ดังนั้นมารดาของเอดิสันจึงตัดสินใจพาลูกออกจากโรงเรียน และสอนเขาอยู่ที่บ้าน
เอดิสันหลงใหลวิทยาศาสต์มาก พออายุได้  10 ปี เขาสร้างห้องทดลองเคมีของเขาสำเร็จ ตลอดชีวิตเขาสามารถประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ได้กว่า 3,000 ชิ้น ด้วยพลังที่ไม่มีวันหมดและความอัจฉริยะของเขา ซึ่งเขาระบุว่าเป็นแรงบันดาลใจ 1%  และเป็นเหงื่อ 99%
กว่าโทมัส เอดิสันจะประดิษฐ์ดวงไฟได้ เขาทำการทดลองอยู่กว่า 25,000 ครั้ง นักข่าวถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรกับความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งเขาตอบว่า ผมไม่เคยล้มเหลวสักครั้งเดียว มันก็แค่เป็นกระบวนการ 25,000 ครั้งเท่านั้น
หากเราผิดพลาดพลั้งสักกี่ครั้ง แล้วแก้ไข กลับเนื้อกลับตัวใหม่ ความสำเร็จและความสุขจะตามมา อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดมาทำร้ายตัวเอง มาทำร้ายคนรอบข้าง มาทำร้ายคนที่เรารัก นี่จึงเป็นความสมบูรณ์ของชีวิต เมื่อนั่งพิจารณาในเหตุการณ์ครั้งนี้มันสะท้อนสอนอะไรเราบ้าง ใช่หรือไม่ บนความผิดพลาดนั้นทุกคนย่อมมี ทุกคนย่อมเคยทำมา เราลองมาย้อนดูบนความผิดพลาดของเรานั้นย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว ความผิดพลาดเล็กน้อยย่อมมีผลกระทบไม่มากและสามารถลบล้างออกได้ด้วยการให้อภัยกัน
ในสังคมที่เรามักคิดว่าความเก่ง ความฉลาดเป็นกำแพงปกป้องตัวเอง ต่างคนต่างสร้าง จึงกลายเป็นกำแพงรอบด้านที่ปิดกั้นตัวเอง เวลาเกิดการผิดพลาดขึ้นมามักจะไม่รีบแก้ไข แต่จะใช้วิธีหลีกหนีเอาตัวรอดมากกว่า ปัญหาจึงเกิดจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ ไม่ต้องอื่นไกล ในครอบครัวเรา การอยู่ร่วมกันของคนหลายคน ย่อมมีความพลาดผิดเสมอ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยยึดโยงครอบครัวให้แน่นเหนียวเกี่ยวก้อยกันไว้ได้คือ ความรัก รักที่จะให้อภัยในความผิดของกันและกัน ความศักดิ์สิทธิ์จึงเกิดขึ้น ความสว่างสดใสจึงมีมาในหลังคาเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบค่านิยมที่ไม่ยอมกัน เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เราก็มักไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเรา ใครที่เคยคิกหรือบอกว่า “เกิดมาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด” นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์และเป็นอันตรายต่อสังคมเป็นอย่างมาก คุณค่าของความงามในชีวิตไม่ได้ถูกตัดสินว่าใครเก่ง ใครมี ใครสวย ใครรวยกว่ากัน แต่มันกลับวัดกันตรงที่ใครสามารถที่จะแก้ไขในสิ่งผิดได้ดีกว่ากัน ใครใช้บทเรียนจากความผิดพลาดเพื่อเสริมเติมแกร่งได้มากกว่ากันต่างหาก
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในโอกาสของการข้ามผ่านปี เรามาทบทวนการดำเนินชีวิตของเราที่ผ่านมานั้น เราได้แก้ไขข้อผิดพลาด เราได้เสริมสร้างรักด้วยการให้อภัยมามากน้อยเพียงใด และในวันข้างหน้าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยถึงน้อยที่สุด เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในสังคม ในประเทศ ในโลกนี้เป็นเวทีที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่กันอย่างแท้จริง นี่จึงเป็นภารกิจรักภารกิจหลักที่เราต้องกระทำในวันเวลาที่เหลืออยู่ อย่าด่วนปิดฉากไปอย่างง่ายดายและไร้ค่ากันเลยนะครับ...Merry and Mercy Christmas Happy New Year New Life..

ไม่มีความคิดเห็น: