วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กายาคติ

กายาคติ
เพียงชั่วข้ามคืน เกียรติที่ได้รับจากที่หนึ่งกลับมลายหายไป กลายเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง แถมถูกมองด้วยสายตาอันดูแคลนแกมหยามหยัน อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้จัก อาจจะเป็นเพราะการแต่งกายภายนอก อาจจะเป็นเพราะเจอคนที่มีปมในชีวิตแล้วมาแสดงออกในเชิงข่มกดผู้อื่น และอีกหลากหลายเหตุผล แต่ใช่หรือไม่ หากเรามีหัวใจในการให้เกียรติทุกคน โดยลดการมองเพียงภายนอกลงบ้าง เราจะเห็นคุณค่าของผู้คน เราอยากให้คนอื่นมองเราแบบใดเราต้องพิศดูคนอื่นแบบนั้นเสียก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ยังคงพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้อยู่เรื่อย ๆ ในเรื่องทำนองนี้ หลายคนคงเจอกับตัวเอง และหลายคนอาจจะเคยเป็นคนที่มองคนอื่นด้อยค่ากว่าตัวเอง แต่พอรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร บางทีถึงกลับหงายเงิบไปเลยก็มี คนเรามักดูและประเมินคนเพียงภาพแรก รูปกายที่ปรากฏเห็น และวัดค่าด้วยสายตา หาใช่ ใช้หัวใจวัด ดูคนอื่นเพียงการแต่งกาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ ดูคนอื่นเพียงหน้าตา ซึ่งทำให้ตอนนี้หลายคนจึงพยายามอัพเดทหน้าตา ทั้งผ่านแอพพลิเคชั่น ผ่านทางกล้องถ่ายสำเร็จรูปที่ออกมาหน้าตาจะสวยงามจนกระจกหมดความหมาย (เพราะแสดงผลจริงเกินไป) หลายคนก็ผ่านทางการเสริมเติมแต่ง เพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่น เพราะกลัวการดูถูกดูแคลน ชีวิตแสนลำบากของคนยุคนี้...
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต
                ทำให้ย้อนไปถึงอดีตพระคุณเจ้าสองท่าน ท่านแรกคือ พระคุณเจ้าพเยาว์ มณีทรัพย์ ที่ขี่มอเตอร์ไซต์เก่า ๆ ไปไหนต่อไหนเป็นประจำ อีกท่านหนึ่งคือ พระคุณเจ้าบรรจง อารีพรรค แต่งกายธรรมดา ๆ เสื้อเชิ้ตเก่า ๆ และมักทำอะไรด้วยตัวเองเสมอ แบกบันได  ตัดกิ่งไม้ รดน้ำต้นไม้ ทั้งสองท่านมีเรื่องราวคล้าย ๆ กัน เวลามีคนจะไปพบพระสังฆราช เมื่อเจอท่านทั้งสองมักจะถามว่า “ลุง ๆ เห็นพระสังฆราชบ้างไหม พอดีจะมาพบท่าน” คนถามพอรู้ว่าลุงคนนั้นที่แท้คือพระสังฆราชก็ขอโทษขอโพยท่าน หรือไม่ก็จะอาย ที่ไปถามท่านแบบนั้น ท่านก็มักไม่ถือสาอะไร เป็นความน่ารักและสมถะของท่านทั้งสองที่ไม่ถือเนื้อถือตัว 

พระคุณเจ้าบรรจง อารีพรรค
พระคุณเจ้าพเยาว์ มณีทรัพย์


แต่สำหรับเราแล้วการให้เกียรติคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ ย่อมต้องมีอยู่ในหัวใจเสมอ เพราะเราให้เกียรติคนอื่นเราก็ให้เกียรติพระผู้ให้กำเนิดด้วยเช่นกัน ให้เกียรติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นั้นนับถือ และที่สุดเป็นการให้เกียรติกับโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วย อย่าทำตัวเหมือนกับผู้หญิงในเรื่องเล่าในเรื่องนี้
ผู้หญิงอายุ 40 กว่า ๆ คนหนึ่ง พาลูกชายของเธอเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ภายในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งเพื่อกินอาหาร
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้หญิงคนนั้นก็โยนทิ้งเศษกระดาษลงบนพื้น และไม่ไกลจากตรงนั้นนัก มีชายชราคนหนึ่งกำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ เขาไม่พูดอะไรสักคำ เดินเข้ามาหยิบเศษกระดาษแล้วทิ้งเข้าไปในถังขยะที่อยู่ข้าง ๆ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หญิงคนนั้นก็โยนเศษกระดาษลงบนพื้นอีก ชายชราก็เดินเข้ามาหยิบเศษกระดาษทิ้งเข้าไปในถังขยะ และก็เป็นเช่นนี้อีก ชายชราต้องเก็บเศษกระดาษถึง 3 ครั้ง
หญิงคนนั้นชี้ไปที่ชายชราแล้วพูดกับลูกชายว่า “เห็นไหม ถ้าเธอตอนนี้ไม่เรียนหนังสือให้ดี ๆ ในภายหน้าเธอก็จะเป็นเหมือนเขาไม่มีอนาคต ทำได้แต่เพียงงานที่ต่ำต้อยเช่นนี้”
ชายชราได้ยินเช่นนั้น ก็วางกรรไกรแล้วเดินเข้ามาพูดว่า “สวัสดี ที่นี่เป็นสวนส่วนบุคคลของเครือบริษัทนี้ เธอเข้ามาได้อย่างไร?
หญิงวัยกลางคนนั้นพูดอย่างหยิ่ง ๆ ว่า “ฉันคือผู้จัดการฝ่ายที่บริษัทเพิ่งรับเข้ามา”
ในขณะนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ และมายืนอยู่ตรงหน้าชายชราอย่างเคารพนอบน้อมแล้วพูดว่า “ท่านประธาน การประชุมกำลังจะเริ่มแล้วครับ”
ชายชราจึงพูดว่า “ตอนนี้ฉันขอเสนอว่าให้เลิกจ้างผู้หญิงท่านนี้”
“ครับ ผมจะรีบไปดำเนินการตามคำสั่งของท่านครับ” ชายคนนั้นรีบขานรับ
ชายชราสั่งเสร็จก็เดินมาที่เด็กชาย เขาเอามือลูบที่ศีรษะของเด็กชายหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจนะ ในโลกนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติคนทุกคนและผลงานจากการลงแรงของคนทุกคน
หญิงวัยกลางคนนั้นถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตกตะลึง หล่อนอ่อนระทวยอยู่บนม้านั่งยาวนั้น ถ้าหล่อนรู้ว่าชายชรานั้นเป็นประธานบริษัท ก็ย่อมไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน การให้เกียรติคน อย่าได้แยกแยะจากฐานะตัวตน นี่คือลักษณะในตัวที่สง่างาม ทรัพย์สินความร่ำรวยไม่ใช่เป็นเพื่อนชั่วชีวิต การเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นจึงจะเป็นทรัพย์สินความร่ำรวยชั่วชีวิต มีเพียงสิ่งนี้จึงจะเป็นสภาพเขตแดนที่สูงที่สุดของชีวิตคนเรา (Fwd line)
ภาพ  : อินเตอร์เน็ต

ค่านิยม กระแสสังคมกำลังเข้าครอบครองผู้คน ด้วยการวัดค่าประเมินคุณค่าคนจากวัตถุภายนอก ความดีงามภายในไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เราจึงพบการหยามหยัน เราจึงเห็นการดูถูกดูแคลน แล้วนำมาซึ่งการแค้นเคือง ความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบ ความอยุติธรรมจึงบังเกิดขึ้น ผลพวงของการไม่ให้เกียรติกันจึงเป็นที่มาของสงคราม ใช่หรือไม่เราต่างเป็นลูกของโลกนี้ เรามีเกียรติเท่าเทียมกัน เราแต่ละคนย่อมมีที่ยืน มีที่อยู่บนโลกนี้อย่างสง่างามเหมือนกัน แน่ล่ะ บางทีเราอาจจะมองคนอื่นอย่างไร้เกียรตินั่นเท่ากับเรากำลังหยามเกียรติต่อโลกและต่อองค์พระผู้สร้าง สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งนั่นคือการปลูกฝังให้คนรุ่นหลัง รุ่นลูกรุ่นหลานให้มีหัวใจที่เปิดกว้าง ให้ทุกคนรู้จักเห็นค่าของทุกสรรพสิ่ง และมีหัวใจที่สุภาพถ่อมตน ให้เกียรติกับทุกคน ใช่หรือไม่ พระเยซูผู้ที่เรานับถืออย่างสูงส่ง ก็เคยถูกผู้คนไม่ให้เกียรติมาตั้งแต่วันลืมตาดูโลกนี้ และแม้กระทั่งวันสุดท้ายปลายทางชีวิต ก็ไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเช่นกัน

แน่นอนบางครั้งการไม่รู้จักกันมาก่อน ยามพบปะกันอาจจะทักทายกันผิดที่ผิดตำแหน่งไป เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่หากเรารู้จักการให้เกียรติคนอื่นเราย่อมไม่แสดงออกถึงการดูถูกดูแคลน เราย่อมไม่แสดงถึงการรังเกียจและเหยียดหยามคนอื่นอย่างหยาบกระด้าง เราต้องมีหัวใจที่ให้เกียรติกับทุกคนแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้รับเกียรติจากทุกคนก็ตาม เพราะหัวใจแห่งความดีงาม หัวใจแห่งรัก ย่อมอ่อนโยนต่อทุกสิ่งได้เสมอ

ไม่มีความคิดเห็น: