วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ข้ามผ่านไปด้วยใจ

ข้ามผ่านไปด้วยใจ
“น้อมรับโดยไม่อวดอ้าง ปล่อยวางโดยไม่ทุรนทุราย”อ่านจากหนังสือ Meditations ริมระเบียงตึกหรูริมหาด พัทยา นาเกลือ

แม้ว่าโดยส่วนตัวจะไม่ชอบการไปท่องเที่ยวในวันหยุดที่ต่อเนื่องกันหลายวัน เพราะไม่อยากจะต้องไปแย่งกันกินแย่งกันอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่ด้วยเพราะความรู้สึกเห็นใจเข้าใจในกลุ่มคนคุ้นเคยที่เราจะพาไปหยุดพักผ่อนร่วมกัน นาน ๆ สักครั้งในรอบปีที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้มีเวลาหยุดพักผ่อนร่วมกัน สวนนงนุช พัทยาใต้ คือจุดหมายที่เรามุ่งหน้าไปให้ถึง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่ารถต้องติด คนต้องเยอะและเตรียมใจไว้กับสิ่งเหล่านี้ และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แถมมีฝนตกอย่างหนักตั้งแต่เริ่มก้าวออกเดินชมสวน ทำให้ต้องติดฝนภายใต้ “หลังคาเดียวกัน”อีกนับชั่วโมง ด้วยเพราะการเที่ยวครั้งนี้สิ่งสำคัญคือการพักผ่อนร่วมกันของคนที่อยู่ภายใต้ “หลังคาวัดเซนต์หลุยส์” การรอคอยจึงเป็นบรรยากาศของความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยการพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แบ่งร่ม ปันที่กั้นฝนให้กัน แล้วพวกเราก็ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการรอคอยมาด้วยกัน เดินชมสวนอย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้สึกเหนื่อย
จากนั้นต้องขับรถย้อนมาที่พักจากพัทยาใต้มาพัทยาเหนือ นาเกลือ ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงกว่า ท่ามกลางรถที่ติดยาวเหยียด ทางที่กำลังก่อสร้าง เมื่อหาทางเข้าที่พักได้ก็พบว่าทางนั้นปิด เพื่อเป็นถนนคนเดิน ต้องย้อนเข้าอีกทางกว่าจะถึงเล่นเอาหลายคนเหนื่อยล้า วันนี้ดูเหมือนมีแต่อุปสรรคแต่เมื่อถึงห้องพัก เปิดประตูเข้าไป ทุกคนต่างชื่นมื่นชื่นชอบ ได้เห็นบรรยากาศโดยรอบ กับสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากที่เคยชินย่อมนำมาซึ่งความตื่นเต้น ความเหนื่อยล้ามลายหายไป แล้วความสุขก็บังเกิดขึ้นภายใต้ประตูบานนั้นที่เปิดออก
มองออกไปเห็นขอบฟ้า ชายหาด สิ่งปลูกสร้างรายรอบ สายลม แสงแดดอ่อน สระว่ายน้ำริมหาดทะเลแม้จะดูขัดแย้งกันในตัว  แต่ก็มิได้ทำให้หัวใจของผู้มาพักรู้สึกขัดข้อง ทุกสิ่งทุกอย่างสุขได้ เพราะนั่นอยู่ที่ใจล้วน ๆ ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราเคย เห็น ได้ยิน ได้ชิม ได้พูด ด้วยกายสัมผัส เรามักใช้สมองในการคิดตีความ นำมาซึ่งการตบแต่งเพิ่มเติมขยายความจนทำให้เป้าหมายของชีวิตเปลี่ยนไป ตราบใดที่เราใช้ใจสัมผัส เราจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างมีความสุข สูดลมหายใจอย่างคล่องปอด ลิ้มรสอาหารอย่างอร่อย และยิ้มกับผู้คนรอบกายอย่างไม่เคอะเขิน
เช้าวันหนึ่งที่สถานีรถไฟใต้ดินกรุงวอชิงตันเมื่อ  2 ปีที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งสีไวโอลินบรรเลงเพลงคลาสสิกประมาณ 45 นาที ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนที่นั่น เพราะมีวณิพกมาเล่นดนตรีเป็นประจำ ผ่านไป 4 นาทีจึงมีผู้หญิงคนหนึ่งโยนเงินใส่หมวกของเขาที่วางอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่ได้หยุดฟัง อีก 6 นาทีต่อมามีเด็ก 3 ขวบคนหนึ่งหยุดฟัง แต่ถูกแม่ดึงออกไป หลังจากนั้นมีเด็กอีกหลายคนสนใจฟัง แต่ก็ถูกผู้ปกครองลากตัวออกไปเพื่อขึ้นรถใต้ดินให้ทัน
เมื่อเขาสีไวโอลินจบ มีคนเดินผ่านเขามากกว่า 1,000 คน แต่มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่หยุดฟังเพลง กระนั้นก็สนใจแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มี 27 คนที่ให้เงินเขาแต่ก็ยังเดินต่อไป เช้าวันนั้นเขาได้เงินทั้งสิ้น 32 ดอลลาร์ ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหยุดบรรเลงเพลงเมื่อใด ไม่มีเสียงปรบมือ เพราะไม่มีใครสนใจเขาเลย
และไม่มีใครสังเกตเลยว่า “วณิพก” ผู้นั้นคือ โจชัว เบลล์ (Joshua Bell) นักดนตรีชื่อก้องโลก เขาบรรเลงเพลงของบ๊าคซึ่งได้รับการยกย่องว่าไพเราะลุ่มลึกอย่างยิ่ง ไวโอลินที่เขาใช้มีราคาสูงเกือบ 4 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้นแค่ 2 วันเขาเปิดการแสดงสดที่บอสตัน บัตรราคาเฉลี่ย 100 เหรียญขายหมดเกลี้ยง
การทดลองดังกล่าวซึ่งจัดทำขึ้นโดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ชี้ให้เห็นว่า อย่าว่าแต่เสียงธรรมชาติที่คุ้นหูเลย แม้แต่เสียงเพลงอันไพเราะจากนักดนตรีระดับโลก ผู้คนจำนวนมากก็ไม่ได้ยิน หรือได้ยินแค่เสียง แต่ใจไม่สามารถสัมผัสรับรู้ถึงความเพราะพริ้งได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะทุกคนต่างเร่งรีบ ในใจมัวครุ่นคิดอยู่กับการเดินทาง หรือไม่ก็กังวลกับเรื่องงาน จึงปิดรับสุนทรียรสที่ปรากฏต่อหน้า (น่าสังเกตว่าเด็กหลายคนกลับรู้สึกว่าเพลงของเขาไพเราะจนหยุดฟัง นั่นคงเป็นเพราะเด็กเหล่านั้นใจไม่ วุ่นเหมือนกับผู้ใหญ่)
ในกาลเวลาที่ลุล่วงผ่านมาแล้วผ่านไปนั้น มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรามากมาย แต่บ่อยครั้งเรากลับปิดใจไม่รับรู้สิ่งเหล่านั้น เพราะวุ่นและมุ่งมั่นแต่จะไปให้ถึงจุดหมายข้างหน้า จนลืมมองว่ารอบตัวนั้นงดงามเพียงใด เรามองด้วยตา ฟังด้วยหู แต่อย่าลืมว่าเรารับรู้ด้วยใจ ถ้าใจไม่เปิด เราก็จะได้ยินและเห็นตามความคิดอคติและจริตตน ที่กักขังเราให้ติดจมอยู่ในความทุกข์ เปิดใจออกเพื่อเห็นสิ่งอื่น และขณะเดียวกันก็เพื่อต้อนรับสิ่งต่าง ๆ เข้ามาหาเราด้วย การที่เราจะเปิดใจของเราได้นั้น เราต้องมีเมตตา “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงเมตตากรุณาเถิด” (ลูกา 6:36) ด้วยหัวใจเมตตากรุณานี้จะทำให้เราก้าวข้ามผ่านความทุกข์ไปเพื่อพบกับความสุข เมื่อความเมตตาเริ่มจากเราคนหนึ่ง ผลของความเมตตากรุณาจะไม่หยุดอยู่แค่หนึ่งแต่จะขยายกระจายออกไปอย่างมิมีวันสุดสิ้น อย่างเช่นกลุ่มของเราที่ได้รับความเมตตาจาก“ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง”ให้ที่พักผ่อนภายในคอนโดฯริมหาด นำมาซึ่งความสุขของอีก 16 ชีวิต และความสุขนั้นก็กระจายต่อ ๆ ไป


และสิ่งนี้นี่เองสอดคล้องกับการที่สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงประกาศให้เปิด “ปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม” ตั้งแต่ 8 ธันวาคมนี้จนถึง 20 พฤศจิกายนปีหน้า และได้มีพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการก้าวข้ามผ่านไปหาพระบิดาเจ้า
และในทุกสังฆมณฑลทั่วโลกก็จะมีการทำพิธีเปิดประตูศักดิ์สิทธิ์ที่อาสนวิหารประจำสังฆมณฑล ในวันอาทิตย์ที่ 13 นี้ และสำคัญที่สุดคือการเปิดประตูหัวใจของเรา ให้มีเมตตาต่อผู้อื่น เพราะโลกเรากำลังไร้เมตตาต่อกันมากขึ้นทุก ๆ วัน มีแต่ใจเมตตาเท่านั้นที่จะทำให้โลกข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้

ไม่มีความคิดเห็น: