สุขอยู่ที่ใด...
ประโยคเด่นในเพลงโฆษณาของร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ที่ติดหูติดปากของผู้คนมานานพอสมควร ที่มีว่า “สุขอยู่ที่ใด” และยังคงได้ยินเป็นประจำ หากว่าได้เข้าไปรับประทานอาหารในร้านนี้
ทำให้มานั่งคิดต่อว่า สุขอยู่ที่ร้านนั้นจริงหรือเปล่า!!!
ความสุขจากการกินอาจจะเป็นความสุขชั่วคราวอีกชนิดหนึ่ง แต่เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ความทุกข์ก็ตามมาเยือนอีกคำรบหนึ่ง
ความทุกข์ของการไม่มีจะกิน เพียงได้อะไรกินสักเล็กน้อย ความสุขในครั้งนั้นอาจจะมีมากกว่าการไปนั่งกินอย่างเต็มที่ในร้านนั้นก็ได้
ยิ่งเมื่อเห็นความทุกข์ของเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่ถูกพายุกระหน่ำจนมีผู้เสียชีวิตเป็นเรือนหมื่น
เมื่อพายุพัดผ่านเอาความเดือดร้อนมาให้ มันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่เพียงสิ่งสร้างอย่างเดียว
ความสุขของผู้คนก็จางหายไปด้วย ยิ่งเมื่อมีผู้เสียชีวิตมากมายขนาดนี้
การเก็บร่างของผู้เสียชีวิตต้องใช้เวลา ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิตต่างๆก็จะนำโรคระบาดตามมา
นำมาซึ่งการแก่งแย่งชิงอาหารกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
และเราผู้ที่ยังเลือกกินได้ ยังพอมีความสุขอยู่กับการกิน
กับการเลือกรสชาติ ก็อย่าได้นำมายึดถือว่าสุขนั้นจะต้องอยู่กับการกินเสมอไป เพราะว่าในบางครั้งนั้นการมีความสุขในการนั่งรับประทานนั้น
สิ่งที่สุขมากกว่าคือการได้นั่งรับประทานอาหารกับคนที่ถูกใจ คนที่ถูกคอ
ซึ่งสำคัญกว่ารสชาติอาหาร ความสุขกับการบริโภคสิ่งต่างๆภายนอก
สุขกับการมีเงินมีทอง สุขกับการมีชื่อเสียงมีผู้คนรักนับถือ ใช่หรือไม่ ถ้าหลงในสุขเหล่านั้นมากเกินไปมันก็กลายเป็นทุกข์
ในวันที่บ้านเมืองกำลังสับสนว่าจะเดินต่อกันไปอย่างไร???
เราเหมือนจะจมอยู่กับความวุ่นวาย นั่นเป็นเรื่องของระบบสังคม
แต่เราๆท่านๆนั้นมีหน้าที่หลัก ที่จะสร้างชีวิตให้มีความผาสุก
เราถูกฝังค่านิยมสมัยใหม่ให้เราไปโยงยึดกับสิ่งภายนอกมามากเกินไปแล้ว
โดยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำความสุขมาให้ แล้วก็ถูกป้อนคำสั่งให้เสาะหา และสะสม ที่แท้จริงแล้วพอเรามีสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นความสุขกลับลดหายไปเรื่อยๆ
แล้วก็เที่ยวถามหาว่า ความสุขอยู่ที่ใด
เหมือนกับหนุ่มสามคนนี้ที่เที่ยวถามหาความสุข
หนุ่ม 3 ราย สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเนื่องเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตก
จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซนคนหนึ่ง เมื่อได้พบก็เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า “มีหนทางใดที่จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิต?”
อาจารย์เซนถามกลับไปว่า
“พวกท่านแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?”
คนแรกตอบว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพราะไม่อยากตาย”
คนต่อมาตอบว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
ยามแก่เฒ่าแวดล้อมไปด้วยลูกหลาน คงเป็นความสุขยิ่งนัก”
คนสุดท้ายตอบว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว
ตอนนี้ทุกคนต้องพึ่งพาข้า ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตาย”
เมื่อได้ฟังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของทั้งสาม
อาจารย์เซนได้แต่กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านคงไม่อาจมีความสุขตลอดกาล
เนื่องเพราะพวกท่านคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนความหวาดกลัวความตาย
คนหนึ่งเฝ้ารอให้ถึงยามแก่เฒ่า อีกคนหนึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยภาระอันหนักอึ้ง
จนต่างก็หลงลืมหลักการและความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร”
จากนั้นอาจารย์เซนจึงเอ่ยถามสามหนุ่มสามมุมต่อไปว่า
“ในความเห็นของทุกท่าน
'ความสุข' คืออะไร?”
คนแรกตอบว่า “ย่อมเป็นทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุข”
คนต่อมาตอบว่า “ความรักจึงนำมาซึ่งความสุข”
คนสุดท้ายตอบว่า “ชื่อเสียงเกียรติยศต่างหากคือความสุข”
อาจารย์เซนกลับตอบว่า “นั่นกลับมิใช่
ซ้ำร้ายหากพวกท่านสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกินไปกลับยิ่งเพิ่มความทุกข์”
ทั้งสามหนุ่มมองหน้ากันด้วยความงุนงง
อาจารย์เซนจึงกล่าวต่อไปว่า “หากพวกท่านมีทรัพย์สินเงินทอง ความรัก หรือลาภยศสรรเสริญแล้ว
ความกังวลว่าจะเสียมันไป ความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียไปแล้ว
รวมทั้งความปรารถนาอยากได้อยากมีมากกว่าเดิม
จะกลายเป็นบ่วงแร้วคอยพันธนาการพวกท่านเอาไว้ กลายเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์
แต่หากพวกท่านต้องการความสุข ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดดังนี้”
“อันว่าทรัพย์สิน
เงินทองเมื่อมีมากจงทำบุญทำทานออกไปจึงจะเป็นสุข
ความรักนั้นต้องรู้จักการเสียสละและการให้ จึงจะมีความสุข
ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงจงนำมาใช้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ส่วนรวม
เช่นนี้จึงเป็นความสุขโดยแท้” (นิทานเซน)
วันเวลาผ่านมาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ปีหนึ่งกำลังจะผ่านไป ลองนั่งคิดนั่งทบทวนว่าที่ผ่านมานั้น
ระหว่างเงินทองในแบงค์ในตู้นิรภัย กับความสุขในชีวิต อะไรมีการเพิ่มพูนมากกว่ากัน สุขอยู่ที่ใด
ไม่ต้องไปร้องถาม แท้จริงแล้วความสุขมันอยู่ที่ใจ ใจที่พร้อมจะออกจากตัวเอง
แล้วส่งผ่านไปให้ผู้อื่น ไม่ต้องเที่ยวเสาะหาสุขจากไหน ใจเราต้องนิ่งสงบ
ใจที่ต้องมีธรรมะ หยุดหลงทางและหยุดแขวนความสุขกับสิ่งเสพภายนอก
นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น