วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สุขอยู่ที่ใด...

สุขอยู่ที่ใด...
ประโยคเด่นในเพลงโฆษณาของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ติดหูติดปากของผู้คนมานานพอสมควร ที่มีว่า สุขอยู่ที่ใด และยังคงได้ยินเป็นประจำ หากว่าได้เข้าไปรับประทานอาหารในร้านนี้ ทำให้มานั่งคิดต่อว่า สุขอยู่ที่ร้านนั้นจริงหรือเปล่า!!! ความสุขจากการกินอาจจะเป็นความสุขชั่วคราวอีกชนิดหนึ่ง แต่เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ความทุกข์ก็ตามมาเยือนอีกคำรบหนึ่ง ความทุกข์ของการไม่มีจะกิน เพียงได้อะไรกินสักเล็กน้อย ความสุขในครั้งนั้นอาจจะมีมากกว่าการไปนั่งกินอย่างเต็มที่ในร้านนั้นก็ได้ ยิ่งเมื่อเห็นความทุกข์ของเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่ถูกพายุกระหน่ำจนมีผู้เสียชีวิตเป็นเรือนหมื่น เมื่อพายุพัดผ่านเอาความเดือดร้อนมาให้ มันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่เพียงสิ่งสร้างอย่างเดียว ความสุขของผู้คนก็จางหายไปด้วย ยิ่งเมื่อมีผู้เสียชีวิตมากมายขนาดนี้ การเก็บร่างของผู้เสียชีวิตต้องใช้เวลา ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิตต่างๆก็จะนำโรคระบาดตามมา นำมาซึ่งการแก่งแย่งชิงอาหารกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย 

และเราผู้ที่ยังเลือกกินได้ ยังพอมีความสุขอยู่กับการกิน กับการเลือกรสชาติ ก็อย่าได้นำมายึดถือว่าสุขนั้นจะต้องอยู่กับการกินเสมอไป เพราะว่าในบางครั้งนั้นการมีความสุขในการนั่งรับประทานนั้น สิ่งที่สุขมากกว่าคือการได้นั่งรับประทานอาหารกับคนที่ถูกใจ คนที่ถูกคอ ซึ่งสำคัญกว่ารสชาติอาหาร ความสุขกับการบริโภคสิ่งต่างๆภายนอก สุขกับการมีเงินมีทอง สุขกับการมีชื่อเสียงมีผู้คนรักนับถือ ใช่หรือไม่ ถ้าหลงในสุขเหล่านั้นมากเกินไปมันก็กลายเป็นทุกข์

ในวันที่บ้านเมืองกำลังสับสนว่าจะเดินต่อกันไปอย่างไร??? เราเหมือนจะจมอยู่กับความวุ่นวาย  นั่นเป็นเรื่องของระบบสังคม แต่เราๆท่านๆนั้นมีหน้าที่หลัก ที่จะสร้างชีวิตให้มีความผาสุก เราถูกฝังค่านิยมสมัยใหม่ให้เราไปโยงยึดกับสิ่งภายนอกมามากเกินไปแล้ว โดยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำความสุขมาให้ แล้วก็ถูกป้อนคำสั่งให้เสาะหา และสะสม ที่แท้จริงแล้วพอเรามีสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นความสุขกลับลดหายไปเรื่อยๆ แล้วก็เที่ยวถามหาว่า ความสุขอยู่ที่ใด เหมือนกับหนุ่มสามคนนี้ที่เที่ยวถามหาความสุข
หนุ่ม 3 ราย สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเนื่องเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตก จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซนคนหนึ่ง เมื่อได้พบก็เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า มีหนทางใดที่จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิต?”
 อาจารย์เซนถามกลับไปว่า  พวกท่านแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?”
คนแรกตอบว่า ข้ามีชีวิตอยู่เพราะไม่อยากตาย
คนต่อมาตอบว่า ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ยามแก่เฒ่าแวดล้อมไปด้วยลูกหลาน คงเป็นความสุขยิ่งนัก
คนสุดท้ายตอบว่า ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนต้องพึ่งพาข้า ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตาย
เมื่อได้ฟังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของทั้งสาม อาจารย์เซนได้แต่กล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านคงไม่อาจมีความสุขตลอดกาล เนื่องเพราะพวกท่านคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนความหวาดกลัวความตาย คนหนึ่งเฝ้ารอให้ถึงยามแก่เฒ่า อีกคนหนึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยภาระอันหนักอึ้ง จนต่างก็หลงลืมหลักการและความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร
จากนั้นอาจารย์เซนจึงเอ่ยถามสามหนุ่มสามมุมต่อไปว่า ในความเห็นของทุกท่าน 'ความสุข'  คืออะไร?”
คนแรกตอบว่า ย่อมเป็นทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุข
คนต่อมาตอบว่า ความรักจึงนำมาซึ่งความสุข
คนสุดท้ายตอบว่า ชื่อเสียงเกียรติยศต่างหากคือความสุข
       อาจารย์เซนกลับตอบว่า นั่นกลับมิใช่ ซ้ำร้ายหากพวกท่านสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกินไปกลับยิ่งเพิ่มความทุกข์
ทั้งสามหนุ่มมองหน้ากันด้วยความงุนงง อาจารย์เซนจึงกล่าวต่อไปว่า หากพวกท่านมีทรัพย์สินเงินทอง ความรัก หรือลาภยศสรรเสริญแล้ว ความกังวลว่าจะเสียมันไป ความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียไปแล้ว รวมทั้งความปรารถนาอยากได้อยากมีมากกว่าเดิม จะกลายเป็นบ่วงแร้วคอยพันธนาการพวกท่านเอาไว้ กลายเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ แต่หากพวกท่านต้องการความสุข ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดดังนี้
อันว่าทรัพย์สิน เงินทองเมื่อมีมากจงทำบุญทำทานออกไปจึงจะเป็นสุข ความรักนั้นต้องรู้จักการเสียสละและการให้ จึงจะมีความสุข ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงจงนำมาใช้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ส่วนรวม เช่นนี้จึงเป็นความสุขโดยแท้”  (นิทานเซน)


วันเวลาผ่านมาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปีหนึ่งกำลังจะผ่านไป ลองนั่งคิดนั่งทบทวนว่าที่ผ่านมานั้น ระหว่างเงินทองในแบงค์ในตู้นิรภัย กับความสุขในชีวิต อะไรมีการเพิ่มพูนมากกว่ากัน สุขอยู่ที่ใด ไม่ต้องไปร้องถาม แท้จริงแล้วความสุขมันอยู่ที่ใจ ใจที่พร้อมจะออกจากตัวเอง แล้วส่งผ่านไปให้ผู้อื่น ไม่ต้องเที่ยวเสาะหาสุขจากไหน ใจเราต้องนิ่งสงบ ใจที่ต้องมีธรรมะ หยุดหลงทางและหยุดแขวนความสุขกับสิ่งเสพภายนอก นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง 

ไม่มีความคิดเห็น: