วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หน้าที่มีไว้ให้ทำไม่ใช่ให้ท้อ

หน้าที่มีไว้ให้ทำไม่ใช่ให้ท้อ...
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสไปร่วมประชุมเตรียมงาน  “เจริญพุทธะในเสียงเพลง เนื่องในโอกาสถวายพระเกียรติ รำลึก บูชาแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   แม้ว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว งานนี้ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ในวันนั้นมีพระเลขาฯได้เล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพระจริยวัตรของพระองค์ท่าน มีเรื่องหนึ่งท่านเล่าว่า คนเรามักชอบบ่นว่า “เหนื่อยๆ ยุ่งๆ” พระสังฆราชทรงเคยพูดว่า แล้วที่เหนื่อยนะใครเป็นคนกำหนดหล่ะ ก็เราต้องการเป็นต้องการมี เราล้วนเป็นคนเขียนบทให้เราแสดงทั้งสิ้น หากเราไม่อยากเหนื่อยก็หยุดทำหยุดมีแค่นี้เอง ในฐานะคริสตชนคนที่แปลกที่สุดในที่นั้น ก็อดคิดถึงคำพูดของพระเยซูเจ้าไม่ได้ว่า “เราจะกังวลทำไมถึงวันพรุ่งนี้” และ “ถ้าเหนื่อยนักหยุดพัก เข้ามาพักพิงในพระองค์” แต่ส่วนใหญ่เวลาเราเหนื่อยเรามักจะบ่น จะเกี่ยงให้คนอื่นทำแทน ในเมื่อทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นหน้าที่ที่เรากำหนดขึ้นมาเองก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งนี้ เหนื่อยก็พักบ้าง โดยมิต้องบ่นออกมา มีตัวอย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับเรื่องนี้
ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีครอบครัวกระต่ายครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ใกล้ ๆ กับธารน้ำเล็ก ๆ กระต่ายครอบครัวนี้นับได้ว่าเป็นผู้มีความสำคัญกับป่าไม้แห่งนี้มาก เพราะกระต่ายผู้เป็นพ่อ มีตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษาด้านสุขภาพให้แก่สิงโตเจ้าป่า ส่วนกระต่ายผู้เป็นแม่ก็ต้องไปประชุมหารือกับกลุ่มแม่บ้านสัตว์ป่าเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ทั้งพ่อและแม่กระต่ายจึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน และจำต้องทิ้งให้ลูกน้อยทั้งสอง คือ กระต่ายพี่สาวกับกระต่ายน้องชาย เล่นกันอยู่ในบ้านตามลำพังสองตัว
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกระต่ายสังเกตเห็นว่าบ้านโพรงกระต่ายของตนไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่าที่ควร จึงยกเรื่องนี้มาพูดคุยกับแม่กระต่ายก่อนเข้านอนว่า “เธอว่าไหมจ๊ะแม่กระต่าย เดี๋ยวนี้บ้านของเราไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อนเลยนะ การที่เธองานยุ่งมากอย่างนี้ทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ แลดูลูก ๆ ของพวกเราสิ เขาทั้งสองเติบโตมากแล้ว แต่เรายังไม่เคยสอนให้ลูกเรารู้จักทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างเลย ฉันว่าน่าจะเป็นการดีนะ หากเราจะสอนให้ลูก ๆ ทำงาน โดยเริ่มจากงานบ้านของเราเอง” พ่อกระต่ายเสนอความเห็น “เป็นความคิดที่วิเศษมาก แต่ลูก ๆ ของเราไม่เคยทำงาน เขาจะทำได้ดีหรือจ๊ะ”
“เขาคงทำได้ไม่ดีนักหรอก และคงจะสร้างความเหนื่อยหน่ายให้แก่เรามากทีเดียวในตอนแรก แต่นั่นยิ่งทำให้เราต้องมอบหมายงานและสอนการทำงานที่ถูกต้องแก่เขา หากไม่เริ่มเสียแต่ตอนนี้ เขาก็จะทำอะไรไม่เป็นเลยเมื่อโตขึ้น ใครจะอยากได้คนทำอะไรไม่เป็นไปร่วมสังคมด้วยหล่ะ จริงไหม” พ่อกระต่ายกล่าว
เช้าวันรุ่งขึ้น แม่กระต่ายจึงเรียกลูกทั้งสองมาพูดคุยในเรื่องดังกล่าว กระต่ายพี่น้องไม่เคยทำงานบ้านทั้งคู่ และรู้ว่าเป็นงานที่เหนื่อยมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม กระต่ายทั้งคู่ก็รักและเชื่อฟังพ่อแม่กระต่าย จึงคิดว่าถ้าพวกตนทำงานบ้านก็จะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของพ่อกับแม่ได้  
ดังนั้น ทั้งคู่จึงรับปากแม่กระต่ายว่าจะช่วยทำงานบ้านทุกอย่างแทนแม่ กระต่ายพี่น้องช่วยทำงานที่แม่กระต่ายมอบหมายได้สามวัน ต่างคนต่างก็รู้สึกว่าตนเองทำงานมากกว่าอีกคนหนึ่ง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างจับผิดกันและกัน จนไม่มีเวลาทำงานบ้าน
บรรยากาศในบ้านเริ่มเศร้าหมอง เพราะมีแต่เสียงเกี่ยงงานกันจากลูกทั้งสอง วันหนึ่ง แม่กระต่ายจึงเรียกลูกกระต่ายเข้ามาพูดคุยในเรื่องนี้ “เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เราต้องรักและช่วยเหลือกัน ไม่ใช่แบ่งงานกันทำโดยไม่เหลียวแลคนอื่น นี่คือบ้านของเรา ลูกคือลูกของพ่อแม่ และลูกสองคนเป็นพี่น้องกัน เราทุกคนช่วยกันทำงานเพราะเรารักกัน ไม่ดียิ่งกว่าหรือ”
แม่กระต่ายหันมาพูดกับลูกกระต่ายน้องว่า “ลูกไม่ต้องทำงานหมดทุกอย่าง พี่กระต่ายจะช่วยลูกทำงานทุกอย่าง เพราะพี่รักลูก และไม่อยากให้ลูกทำงานเหนื่อยเกินไป ลูกเองก็จะช่วยพี่เขาเช่นกัน จะไม่มีใครคิดว่า ใครต้องทำงานมากกว่าใคร แต่ลูกต้องคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยแบ่งเบาภาระของพี่หรือน้อง ไม่ให้เหนื่อยเกินไปมากที่สุด ถ้าลูก ๆ เปลี่ยนวิธีคิดและปฏิบัติได้อย่างนี้ งานของลูกก็จะเสร็จเรียบร้อยดีทั้งสองคน”
กระต่ายพี่น้องมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วกระต่ายพี่สาวก็พูดขึ้นว่า “ก็ได้จ้ะแม่ ลูกจะลองทำงานโดยคิดแบบนั้นดูก็ได้ เพราะลูกก็ไม่อยากทะเลาะกับน้องนักหรอก” แม่หันไปหาน้องชาย
“ลูกก็เต็มใจที่จะลองดู” กระต่ายน้องชายตอบ “ดีแล้วลูก” แม่กระต่ายกล่าวพลางโอบกอดลูกทั้งสอง “เราจะปฏิบัติตามวิธีใหม่นี้ คือ ให้เราช่วยกันทำงานเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ความรักนั้นจำเป็นสำหรับครอบครัวเรามากที่สุด จำไว้เถิดลูกรัก”
ลูกกระต่ายพากันหัวเราะ เป็นเรื่องดีทีเดียวสำหรับครอบครัวกระต่ายที่ได้ยินเด็กทั้งสองหัวเราะอีก หลังจากนั้นกระต่ายพี่น้องก็ปฏิบัติตามความคิดของแม่กระต่าย และรู้สึกว่าวิธีนี้ช่วยให้พวกเขาทำงานได้สำเร็จเรียบร้อยทั้งยังรักษาความสุขในครอบครัวไว้ได้อีกด้วย {ตัดตอนมาจาก  www.manager.co.th}

เราไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยคนอื่นตลอดเวลา แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่ส่วนของตนเองให้ดีที่สุด จากนั้นจึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่นด้วยหัวใจรักที่จะช่วย เมื่อเราเลือกที่จะมี จะเป็น ในแบบของเราแล้ว หน้าที่บทบาทและอาชีพที่เราเลือกมาเอง เราต้องสานต่อไปโดยไม่ต้องบ่นว่า “เหนื่อย” โดยไม่ “เกี่ยงงาน” เพียงเท่านี้สังคมที่เราอยู่ก็จะเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เหนื่อยนักก็พัก แล้วเดินต่อไป อย่ามัวแต่พร่ำบ่น เพราะจะไม่มีอะไรดีขึ้นจากการบ่นว่า “เหนื่อย”  ยิ่งบ่นยิ่งเหนื่อยเปล่าๆ..

ไม่มีความคิดเห็น: