วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ทุกวัน

ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ทุกวัน
ใครก็ตามที่ได้ไปเยี่ยมเยือนประเทศญี่ปุ่น สิ่งที่จะขาดเสียมิได้เลย นั่นคือการไปเยี่ยมชมแม่ภูฟูจิ หรือ ภูเขาฟูจิ    เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก เพราะมีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ ด้วยความสูงและความใหญ่เช่นนี้ จึงสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลๆ แม้กระทั่งจากเมืองโตเกียวและเมืองโยโกฮาม่า ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง 
ในช่วงเวลาที่ได้ขึ้นไปนั้นเป็นตอนสายๆของวัน เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการนัดหมายให้ตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อออกเดินทางจากที่พัก และถ้าอากาศดี ฟ้าเปิด รถที่ไปส่งก็จะสามารถนำพาไปถึงชั้น 5 ได้ ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้ายที่รถสามารถขึ้นไปถึง และถ้าใครอยากจะขึ้นไปสุดยอดเขา ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไป ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าใครที่เดินเลยจากชั้น 5 จนไปถึงชั้น 10 ถือว่าได้ขึ้นสวรรค์ บังเอิญเราคงยังไม่อยากขึ้นสวรรค์ตอนนี้ จึงขออยู่แตะชายปลายเท้าสวรรค์ที่ชั้นห้าก็แล้วกัน รอบๆ ภูเขาฟูจิ เต็มไปด้วยธรรมชาติแสนงดงาม ป่าไพร ต้นไม้เขียวขจี และเป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนสี จึงมีบ้างที่ใบออกไปทางสีส้มๆเหลืองๆแดงๆ มีอุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ ถึง 5 แห่ง 
ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฎอยู่ในทังขะ หรือ บทกลอนญี่ปุ่น หรือ อุคิโยเอะ หรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และในทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า ชื่อนักซูโม่ และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ รวมทั้งร้านอาหารอันลือชื่อที่คนไทยชื่นชอบไปรับประทานอาหารญี่ปุ่น ภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
เชื่อกันว่ามีผู้ปีนเขาฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของพลเมืองชาวญี่ปุ่น และมิได้ห้ามหญิงสาวขึ้นไปเยี่ยมชมแล้ว ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาฟูจิ
ในปี พ.ศ. 2556 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้ภูขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 13 และเป็นมรดกโลกแห่งที่ 17 ของประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ ฟุจิซัง เพื่อยกย่องให้เป็นหญิงงาม
เมื่อไปถึงชั้นห้าอย่างที่กล่าวไว้แล้ว นับว่าเป็นโชคดีไม่น้อยที่ฟ้าเปิดให้ยลโฉมความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้ อะไรที่มันใหญ่โตเวลาเรามาอยู่ใกล้ๆ เราจะมองเห็นความสวยงามคนละแบบกับตอนที่เรามองเห็นจากที่ไกลๆ แล้วเราผู้คนละ...บางสถานะเราอาจจะเป็นคนยิ่งใหญ่คนสูงส่ง มีผู้คนที่อยู่ใกล้ๆได้เห็นความงามของเรามากน้อยแค่ไหน หรือมีเฉพาะภาพที่คนอื่นที่อยู่ไกลๆจึงจะเห็นความงาม มีผู้รู้ในกลุ่มเล่าให้ฟังว่า แม่ภูฟูจินี้ ถ้าวันไหนที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก จนมองไม่เห็นแสดงว่า ผู้หญิงที่ไปเยี่ยมชมนั้นสวยกว่าแม่ภูฟูจิ แต่วันนี้เราไปถึงและได้เห็นภูฟูจิเต็มๆ ใหญ่โตและตระหง่าน แสดงว่า ผู้หญิงที่ไปชมในเวลานั้นสวยน้อยกว่าแม่ภูฟูจิเป็นแน่แท้ แต่...คงไม่ใช่...เพราะสักพักใหญ่ ทั้งภูก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก้อนใหญ่ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวมาบดบัง แสดงว่า...หญิงสาวที่เดินวนเวียนแถวนั้นมีคนที่งามกว่า แม่ภูฟูจิจึงต้องอายแอบหลบไป ก็เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อล่อเล่นกัน เลยทำให้ภูเขาไฟฟูจิดูมีชีวิตชีวาขึ้น

และยิ่งมองลึกลงไป ก็ทำให้ได้ข้อสอนใจไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ เราทุกคนใช่ว่าจะต้องยิ่งใหญ่ตลอดไป ใช่ว่าจะต้องสวย ต้องเก่ง เป็นที่หนึ่งตลอดกาล แต่จะทำอย่างไรให้ความยิ่งใหญ่ ความสวย ความงาม ความเก่ง ความดี ดำรงกับเราอยู่อย่างมั่นคงตลอดไป และส่งมอบให้ผู้อื่นได้ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นได้ มิใช่มีเพื่อตัวเราเองเท่านั้น นี่สิคือสิ่งที่เราต้องทำให้ได้
ในวันนี้เรามักจะเห็นผู้คนมากมายที่แย่ง แข่งขัน กันเป็นใหญ่ ก้มหน้าก้มตาหาความเก่ง หาความสำเร็จให้กับตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ค่อยเห็นใครแย่งกันทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง เราต่างคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นให้สูง ไปให้เด่นกว่าคนอื่น พยายามเดินนำหน้าผู้คน มีบ้างบางครั้งเบียดเพื่อนร่วมทางให้กระเด็นตกไปตามข้างทาง แล้วก็ไปยืนเดียวดายอยู่บนยอดเขาสูงอันแสนเหน็บหนาว เพื่ออะไรเล่า...

ภูเขาฟูจิใหญ่สูงข้างหน้านี้ได้ย้ำเตือนว่า ชีวิตของเรานั้น เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องยิ่งใหญ่ในสายตาผู้อื่นในทุกวัน แต่ต้องยิ่งใหญ่ด้วยคุณค่าในตัวเองทุกๆวัน แล้วนำสิ่งนั้นออกไปเพื่อผู้อื่น ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง คือ สิ่งที่คนอื่นเขามองเห็น หาใช่สิ่งที่เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเห็น แล้วถึงขั้นไปบังคับข่มให้มอง อย่างนี้มีแต่ไร้ค่า สรุปรวมความแล้วเราก็เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆในสรรพสิ่งสร้างอันกว้างใหญ่ไพศาล เรามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวเรา นั่นคือหัวใจของความเป็นมนุษย์ แล้ววันนี้เราทำให้มันมีค่าที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เราไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ยิ่งใหญ่ทุกๆวัน แต่หัวใจเรานั้นต้องยิ่งใหญ่ในทุกๆวัน เราไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นไปถึงยอดเขาสูงเพื่อพิชิตมัน เพียงเราเก็บกวาดก้อนหินก้อนเล็กๆที่อยู่ข้างหน้าเราให้เข้าที่เข้าทาง ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ...

ไม่มีความคิดเห็น: