ตำแหน่งแห่งหนบนโลก
โลกเรามีผู้คนผ่านมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
เราก็เพียงผู้ผ่านย่ำซ้ำรอยเท้าบรรพบุรุษที่ผ่านพ้นไป หลายสิ่งรับมาต่อเติม ต่อยอด
หลายสิ่งยังเป็นปัจจุบันจนนิรันดร์ ทำให้เราเรียนรู้
เลียนแบบในวิถีทางการดำเนินชีวิต การเรียนรู้และศึกษาชีวิตนั้นมีหลากหลายวิธี
สิ่งหนึ่งก็คือ การชมภาพยนตร์
ที่ถือได้ว่าเป็นทั้งความบันเทิงผสมกับการเรียนรู้ไปด้วย
และสิ่งนี้กลายเป็นภารกิจประจำสัปดาห์ไปเสียแล้ว เพื่อจะได้หาสิ่งใหม่ๆเพิ่มทักษะในการทำงาน
เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มความรู้ใหม่ๆ
ในแต่ละเรื่องที่ได้เข้าไปชมนั้น
อย่างน้อยๆมักจะได้คำคม ความคิดและเนื้อหาดีๆในเรื่องราวผ่านมาทางแผ่นฟิล์ม
อย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง Thor : The Dark World (ธอร์ โลกาทมิฬ) เป็นเรื่องต่อจากภาคแรก ว่าด้วยการผจญภัยของ ธอร์
อเวนเจอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกและดินแดนทั้ง 9 จากศัตรูลึกลับที่หมายจะครอบครองจักรวาล ธอร์
ผู้ที่ต้องรับตำแหน่งราชาต่อจากบิดา แต่ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ มุ่งแต่ช่วยให้ดินแดนในการปกครองของบิดาพบกับความสุขสันติ
ต่างจาก “โลกิ” ผู้น้อง
ที่บิดาและมารดานำมาเลี้ยง (จากภาค 1)
เมื่อโตขึ้นก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นราชา แต่เขาชอบใช้ความรุนแรง ชอบฆ่าคน
ชอบบังคับคนให้ไปรบ จนมีคนต้องตายมากมาย สุดท้ายบิดาทนไม่ไหวกับปัญหาที่โลกิก่อขึ้น
จึงจับขังเดี่ยว การใช้ชื่อว่า “โลกิ” นี้ ตรงกับภาษาไทยและเหมาะกับบุคลิกในตัวละครอย่างมาก ที่เต็มไปด้วยความโลภอยากเป็นใหญ่
(โลกียะ) หลงอยู่กับการครอบครอง แสวงหาให้ได้มา
ในขณะที่ ธอร์
ต่อสู้เพื่อนำความสงบกลับมาสู่จักรวาลนั้น ชนเผ่าโบราณที่นำโดย มาเลคิธ
ผู้เคียดแค้น ได้กลับฟื้นขึ้นมาเพื่อทำให้จักรวาลกลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
เหมือนว่าความชั่วกำลังครอบครองโลก การใช้สัญลักษณ์ให้ตัวละครร้าย คือ ความมืด
และฝ่ายธรรมะ คือ ความงามและแสงสว่าง เปรียบเทียบได้อย่างตรงไปตรงมา
การเผชิญหน้ากับความมืด แม้แต่ โอดิน (บิดาผู้เป็นราชา) ในแอสการ์ด ดินแดนศูนย์กลางความสงบ
ยังไม่สามารถรับมือได้ สุดท้าย ธอร์
ต้องมุ่งหน้าสู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย
พร้อมโลกิที่รู้ถึงทางลัดเพื่อหนีออกจากศูนย์กลาง
โดยไม่ให้บิดาที่สั่งห้ามไว้ได้รับทราบโดยมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขส่วนตัว
และจุดมุ่งหมายการเดินทางครั้งนี้เพื่อช่วย
เจน ฟอสเตอร์ คนรักจากโลกให้พ้นอันตรายด้วย
หนังเรื่องนี้เข้มข้นไปด้วยเนื้อหาของการต่อสู้ระหว่างความมืดมนกับความสงบสันติ
ในขณะเดียวกันในอาณาจักรที่สงบ แต่ภายในกลับมีการแย่งชิง ลึกลงไปในแต่ละคนต่างมีความขัดแย้งในตัวเอง
ธอร์ ผู้สืบตำแหน่งราชา ก็ไม่ปรารถนาในตำแหน่งนั้น โลกิ ผู้ที่ใฝ่สูงตำแหน่งราชา
แต่ไม่เคยทำอะไรเป็นประโยชน์เลย จนสุดวาระท้ายได้สละชีวิตเพื่อช่วยพี่ชายตัวเอง
ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีคำคมและให้ข้อคิดดีอยู่ในหลายๆตอน
อย่างเช่น แม่ของธอร์ผู้เลี้ยงดูโลกิมาตั้งแต่เล็กและรักเหมือนลูกจริงๆ
ได้เข้าไปหาโลกิในคุกแล้วพูดว่า “ลูกมองดูแต่คนอื่น แต่ลูกไม่เคยมองดูตัวเองเลย” ใช่หรือไม่ คนที่จะเป็นใหญ่ได้
คนที่จะปกครองคนอื่นได้นั้นต้องเรียนรู้จักตัวเองก่อน
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน เมื่อนั้นเราจึงจะใส่ใจคนอื่นได้ ไม่ใช่วันๆคอยแต่จะจับผิดคนอื่น
คอยแต่จะต่อว่านินทาคนอื่นอยู่ร่ำไป โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดที่จะทำดีอะไรเลย
เป็นคนประเภทว่า อยู่ในความมืดก็เที่ยวต่อว่าความมืด
แทนที่จะลุกขึ้นจุดไฟไปต่อเทียนหรือตะเกียง ให้เกิดแสงสว่าง
เราเป็นเช่นนี้หรือเปล่า????
หรืออีกตอนหนึ่ง ธอร์กลับมาหาบิดาเพื่อบอกว่าโลกิได้ตายแล้ว
ตายเพราะเสียสละช่วยเหลือตน โดยพูดว่า “เขาตายอย่างมีเกียรติ
แต่ข้าจะพยายามอยู่อย่างมีเกียรติ”
การตายอย่างมีเกียรตินั้นถือว่ายากแล้วแต่การอยู่อย่างมีเกียรติกลับยากยิ่งกว่า ในโลกยุคปัจจุบันการให้เกียรติกันนั้นมีน้อยลง
มีแต่การให้เกลียดกันมีมากขึ้น
การจะอยู่อย่างมีเกียรติได้นั้นเราจะต้องฝึกฝนที่จะเป็นคนดี
คนดีที่เสียสละเพื่อคนอื่น
ไม่ใช่ทำเพื่อให้คนอื่นยกย่องเพื่อหมายจะได้รับเกียรตินั้น และสุดท้าย ธอร์
ได้ปฏิเสธตำแหน่งราชาด้วยคำว่า “ข้าอยากเป็นคนดีมากกว่าราชาที่ยิ่งใหญ่”
ออกจากโรงหนังวันนั้นแล้ว
คำนี้คือสิ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำตลอดมา
เราไม่จำเป็นเลยที่จะมุ่งแสวงหาตำแหน่งแห่งหน เราควรแสวงหาวิถีทางที่จะเป็นคนดี
แสวงหาหนทางเพื่อช่วยเหลือกันและกันมากกว่า ตัวอย่างหนึ่งที่คิดถึงทันที คือ องค์พระเยซูเจ้า
ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์แห่งสากลโลก
เพราะพระองค์ปฏิเสธที่จะเป็นกษัตริย์บนโลกนี้
ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องยากในสภาวะครั้งกระโนน พระองค์มีผู้ติดตามมากมาย
เป็นที่ชื่นชมของหมู่มวลมหาประชาชนผู้ตกยาก
และกำลังต้องการคนที่มาฉุดพวกเขาให้เป็นไท
แต่พระองค์กลับเลือกหนทางที่ไม่ยอมให้ผู้คนมาเสียเลือดเนื้อเป็นจำนวนมากโดยการยอมเสียเลือดเนื้อของพระองค์เอง
เป็นบทสอนถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ นี่คือราชาที่ยิ่งใหญ่
ราชาที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องมาจากการเป็นคนดียอดเยี่ยมต่างหาก
โลกนี้มีคนจำนวนไม่น้อยปรารถนาอยากจะขึ้นเป็นเจ้าคนนายคน มีตำแหน่งแห่งหน แต่จะสักกี่คนเล่าที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาชีวิตผู้อื่น
คนยิ่งใหญ่จริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นราชาเสมอ
แต่ราชาที่ยิ่งใหญ่คือผู้ช่วยปลดปล่อยคนให้รอดพ้นเสมอมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น