http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ธนูดอกนั้น
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554
รำพึงถึงองค์กุมารน้อย..
บางวันที่ถอดหมวก |
ดอกพู่นายพล |
ยามค่ำวังน้ำเขียว |
องุ่นสดจากไร่ |
ทารกน้อยเกิดมาเพื่อทุกคนแต่มีเพียงไม่กี่คนมาหามาเยี่ยมเยือน ทารกน้อยเกิดมาเพื่อทุกคนแต่วันหนึ่งข้างหน้า จะมีสักกี่คนที่จะยืนเคียงข้าง แล้วเราล่ะ...เกิดมาเพื่อใครบ้าง? ยืนเคียงข้างใครบ้าง? จริงใจและจริงจังต่อใครบ้าง? ชีวิตที่เหน็บหนาวเพราะไร้ไออุ่นจากห้วงลึกภายในหรือเปล่า โอ้...ความหนาวในค่ำคืนกลางหุบเขา ได้ช่วยบรรเทาความเศร้าสะเทือนใจ แล้วยิ่งได้รำพึงถึงองค์กุมารน้อย ความทุกข์เราหรือจะเทียบเท่าทุกข์ของค่ำคืนแห่งการบังเกิดมาของพระเยซูคริสตเจ้าได้ แล้วความทุกข์ยากลำบากนั้นวันนี้ได้รับการฉลองเฉลิมอย่างยิ่งใหญ่และหรรษายิ่งนัก เมื่อความทุกข์ผ่านพ้นความสุขก็จะคืนมา ถ้าเรามีใจที่พร้อมจะให้ ให้อภัยแก่ผู้อื่น...ให้อภัยแก่ตัวเอง...
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
หรือทิ้งไว้เพียงแค่ขยะ
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
มีชีวิตเพื่อสู้
ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต จะได้เรียนสูงๆ” “พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก” เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา “พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน” ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554
คนดีของเรา
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ตะวันลับฟ้าหน้าวาติกัน
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เส้นทางเด็กเลี้ยงแกะ
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันทา...ฟาติมา
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เรือนน้ำ
เรือนน้ำ
ตั้งใจว่าจะนำบันทึกจากการแสวงบุญรอบนี้มาฝากอีกสัก 2-3 ตอน แต่เห็นน้องน้ำที่เที่ยวตามหาพี่ทรายในเมืองหลวง จนเตลิดเพลิดเพลินแวะเที่ยวที่นั่นที่นี่จนเกือบจะครบทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ตามมหาวิทยาลัย วัดวาอารามและห้างสรรพสินค้าแล้ว ต้องขอบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับน้องน้ำนองไว้ ณ โอกาสนี้...
น้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งนี้มีเรื่องหลายเรื่องให้ขบคิด มีหลายสิ่งให้แสวงหาคำตอบ แต่ก็มีหลายคำถามผุดขึ้นแบบไม่ปรารถนาที่จะได้คำตอบ เราจะเห็นว่าในประเทศของเรามีคนเก่งๆ มีความสามารถมากมาย ผู้สันทัดเรื่องน้ำที่เคยแอบอยู่ในซอกหลืบ ก็ออกมาบอกกล่าวคาดการณ์อย่างเที่ยงตรง แต่ก็มักไม่ได้รับการสนองตอบมากนัก ประมาณว่า เก่งแต่ไร้อำนาจจัดการ คนที่จัดการก็ไม่เก่งพอที่จะใช้คนเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ เราจึงเห็นน้ำจำนวนมหาศาลพร้อมกับมวลอคติของผู้คนก้อนมหึมา ถาโถมเข้าใส่เมืองหลวง ต่างคนต่างทำต่างคนต่างคิดว่าเก่ง ทำงานเพื่อบำรุงสุขของตนและพวกพ้อง จนเกิดการขัดกันไปกันมา...
แต่สำหรับผู้คนทั่วไป คนเล็กๆ ประชาชนคนธรรมดา กลับมีด้านมุมที่งดงามในยามน้ำล้น จิตใจคนไทยอีกมากมายที่ยังไม่ล้นไปด้วยความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เงินบริจาค สิ่งของช่วยเหลือล้นหลาม น้ำมาแต่ขาดน้ำกิน(ไม่น่าเชื่อ) คนไทยก็ไม่ทิ้งกัน ต่างคนต่างช่วยเหลือกันและกัน ต่างคนต่างหยิบยื่นมิตรจิตมิตรใจให้กันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมเมืองมาก่อน จิตอาสาของคนหนุ่มสาวส่องแสงเจิดจ้า อุดมการณ์คนเดือนตุลารุ่นใหม่เบ่งบาน บ้านใกล้เรือนเคียงที่ร้อยวันพันปีมิเคยเอื้อนเอ่ยวจีใดๆให้กัน ยามนี้เห็นหน้าไถ่ถามยิ้มแย้มให้กัน หรือว่าน้องน้ำมาคราวนี้เพื่อให้เราหวนคืนสู่วิถีไทย ...
การต้องอพยพออกจากบ้านเป็นเรื่องเจ็บปวด เป็นเรื่องที่ยากยิ่งจะทำใจ แต่ถึงที่สุดเมื่อหยุดน้ำไม่ได้ก็ต้องยอมลาจาก ก็ยังมีอีกหลายคนไม่ยอมจากบ้านไปไหน เฝ้ากอดเสาเรือน นอนกลางหลังคา ยินยอมรับสภาพ ทำไมหรือ!!!! เข้าใจได้ไม่ยากสำหรับคนทำมาหากิน สิ่งที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต คือ การได้มีบ้านสักหลัง ที่ต้องก้มหน้าก้มหลังทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพื่อกู้และผ่อนบ้าน บางคนต้องผ่อนไปอีก 30 ปี คาดคำนวณแล้วอายุครบ 60 กว่าได้เป็นเจ้าบ้านตัวจริง ฉะนั้นแล้ว...บ้านจึงเป็นหยาดเหงื่อ เป็นแรงกายทั้งหมดที่ทุ่มเทมาตลอดชีวิต แล้วอยู่ๆใครก็ไม่รู้ เป็นแขกแปลกหน้าที่ไม่ปรารถนาจะเชื้อเชิญก็มาเยี่ยมเยือนก็เข้ามาถึงในบ้าน เขียนป้ายแขวนไว้หน้าบ้าน “ห้ามน้ำเข้า” ก็ไม่อ่านไม่ฟัง ดื้อรั้นเข้ามาจนได้ แล้วใครก็ไม่รู้ มาตะโกนว่า “ให้ออกจากบ้านโดยด่วน ให้แปลงร่างเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน” ช่างไม่รู้อะไรกันบ้างเลย บ้านนี้คือชีวิตนะ จะขออยู่แม้ว่ามันจะกลายเป็นเรือนน้ำก็จำยอม...
ในขณะที่เราเคยเห็นข่าวต่างประเทศ คนต่างแดน คนสหรัฐฯ คนญี่ปุ่น เวลาเกิดภัยธรรมชาติ ภาครัฐจะคำนวณได้ก่อนล่วงหน้าหลายวันและประกาศให้ย้ายที่อยู่อาศัย มีการจัดระบบขนส่ง รถราติดบนถนนยาวเป็นเวลาหลายๆวัน ประชาชนก็เก็บข้าวของปิดบ้าน และมีวิธีที่จะทำให้พายุก็ดี น้ำก็ดี ทรายก็ดี ไหลผ่านบ้านไปอย่างไม่มีอันตรายหรือได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ขโมยขโจรก็ไม่มี ความปลอดภัยในทรัพย์สินมีสูง การยึดติดกับวัตถุก็น้อย นั่นเขาไม่ได้ฉลาดกว่าเรา แต่เขาเรียนรู้และปลูกฝังวิธีการรับมือมาตั้งแต่เด็กๆ มีสอนในห้องเรียนเป็นเรื่องเป็นราว และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ วิถีชีวิตของประเทศเหล่านั้น เขาให้ราคาคนสำคัญกว่าราคาบ้าน ใช่หรือไม่ เรารับเอาวัฒนธรรมวัตถุนิยมจากประเทศเหล่านี้มา แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ไม่เคยศึกษาเลยว่าวัตถุเหล่านั้นมันเป็นเพียงสิ่งที่หาใหม่ได้ เรากลับรับมาแล้วกอดวัตถุไว้จนแน่น และตั้งราคาไว้สูงจนเทียบเป็นราคาทั้งชีวิตของเราไป ...
บ้านเป็นเพียงวิมานหาใช่เป็นวิหาร ชีวิตจิตใจคนต่างหากคือวิหารที่ควรจะเยียวยารักษา บ้านเรือนที่จมน้ำกู้ใหม่ได้ไม่ยาก แต่จิตใจที่จมลึกลงไปในความโลภนี่สิเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะกู้กลับคืนมาได้ บ้านเรือนน้ำนองอาจจะอยู่กับเราอีกไม่กี่วัน แต่ถ้าลองให้อคติ ความโลภ ท่วมใจแล้ว ทั้งชีวิตก็มิอาจกอบกู้ได้ หลังน้ำลดขอให้ความดีงามที่เริ่มกันมานี้ผุดขึ้นในใจทุกคน แล้วก็อย่าหลงลืมบทเรียน สิ่งที่สวยงามที่เกิดขึ้น ชีวิตคือการเรียนรู้ และจงวางใจในพระเจ้าเสมอจงอย่ากลัวสิ่งใด ...
ขอจบด้วยบทความ “มองน้ำท่วมในด้านสร้างสรรค์ โดย อาจารย์ระพี สาคริก” เป็นอีกหนึ่งข้อคิดบันทึกไว้ในปีที่น้องน้ำตามหาพี่ทรายที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในเมืองฟ้าอมรแห่งนี้...
เธอที่รักทุกคน…
ความจริงแล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้ ถ้าเธอหวนกลับไปมองสู่อดีต ฉันพูดไว้นานแล้วว่า
เหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ก็เพราะคนไทยหลงอยู่กับความสบาย จนกระทั่งรากฐานจิตใจอ่อนแอ เห็นอะไรที่มิใช่ของตัวก็อยากได้ คอรัปชั่นก็เต็มบ้านเต็มเมือง เศรษฐกิจย่ำแย่ก็แก้ไม่ตก การจัดการศึกษาก็ไม่ได้ทำให้คนเป็นมนุษย์ ถ้าฟังเสียงจากภายนอก ต่างชาติเขาพูดกันว่าคนไทยไม่รู้จักความยากลำบาก
ความจริงน้ำท่วมครั้งนี้ ถ้าเธอไม่ใช่คนลืมง่าย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ มันก็เกิดไม่น้อยไปกว่านี้เว้นไว้แต่ว่าคนไทยสมัยนั้นไม่ได้สร้างวัตถุมากมายเหมือนปัจจุบัน จึงไม่เดือดร้อนเช่นทุกวันนี้ ฉันจำได้ว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ำมันท่วมถึงชั้นที่สองของบ้าน แต่คนไทยก็ยังอยู่กันได้ถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ขณะนั้นฉันมีอายุ ๒๑ ปี แต่ทุกวันนี้เรากลับทำลายธรรมชาติ ภูเขาหินปูนลูกใหญ่ๆ ในจังหวัดสระบุรี ลพบุรี และที่ปากช่อง เป็นต้น หายไปเยอะ เปลี่ยนไปเป็นตึกสูงๆ
แม้แต่มหาวิทยาลัยก็มีการก่อสร้างกันอย่างเอิกเกริก การศึกษาที่ทำลายสิ่งแวดล้อมนี่เองที่ได้ทำลายจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ทำให้สังคมแย่ลงไปทุกที ยิ่งแก้ไขก็ยิ่งตกต่ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดการจัดการศึกษาทางเลือกการศึกษาที่จัดให้คนนั่งอยู่ในตึกสบายๆ แล้วจะหวังให้ลูกศิษย์จบไปแล้ว ลงทำงานติดดินมันก็คงเป็นไปได้ยาก ยิ่งกว่านั้นตัวผู้ใหญ่เองซึ่งเป็นผู้บริหารก็เช่นกัน หากรักแต่จะประชุมอยู่แต่ในตึกอยู่ในห้องแอร์ลูกศิษย์จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างไร
เพราะถ้าหัวไม่ส่าย หางมันจะกระดิกได้อย่างไร
ฉันคิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้มันน่าจะสอนให้เธอทั้งหลาย รู้จักอดทน เพราะถ้าเธอต่อสู้กับใจตนเองไม่ได้ แล้วจะไปสู้กับอะไรที่ไหน ฉันขอฝากเรื่องนี้เอาไว้ให้เธอกลับไปนอนคิด ฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ มันจะเกิดขึ้นอีกสักกี่ครั้ง ถึงจะช่วยให้เธอรู้จักตัวเองดีขึ้น และไม่ไปทำลายธรรมชาติ เช่นเดียวกับเรื่องความพอเพียงที่พูดกันแต่ปาก หากไม่รู้จักทำ มีแต่การพูดกันไปต่างๆนานา โดยหาจุดจบได้ยาก ฉันอายุ 90 ปีแล้ว ฉันขอเป็นกำลังใจให้เธอทุกคนได้เรียนรู้กับความยากลำบากและอดทนทำงานหนัก เพราะการทำงานหนักคือความสุขที่แท้จริง
ขอให้ชีวิตจงมีความสุขเพราะการทำงานให้แผ่นดิน โปรดอย่าคิดว่าการทำงานให้แผ่นดินนั้นจะต้องทำให้กับส่วนรวมเสมอไป แม้แต่การประกอบอาชีพอย่างดีที่สุดโดยมีความซื่อสัตย์สุจริตก็ถือได้ว่าคือการทำงานให้แผ่นดินเช่นกัน
วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เหลียวหลังแลลูร์ด
แม้ว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่ออกจะขัดๆตาไปสักหน่อย มีขอทานที่นั่งอยู่ตามทางเดิน หญิงสาวอุ้มลูกในมือมีสายประคำกำลังร้องขอทาน ชายหนุ่มยากไร้ร้องขอผู้คนที่เพิ่งออกจากพิธีแห่ แต่แทบจะไม่มีใครสนใจคนเหล่านี้เลย เห็นภาพแล้วมีหลายคำถามเกิดขึ้น เรามาวอนขอแม่พระถึงหน้าถ้ำมัซซาเบียลที่เมืองลูร์ด แต่กลับไม่มีใครคิดให้คนอื่น(ขอทาน)เลยหรือ คิดถึงนักบุญแบร์นาแด๊ต ที่ยากไร้ไม่มีบ้านเรือน ต้องอาศัยใต้ถุนบ้านของคนอื่นอยู่ ในห้องเล็กๆที่มีสมาชิกถึงหกคน จึงทำให้เกิดโรคติดต่อ แต่แม่พระไม่ลืมคนเช่นนี้ แล้วคนขอทานเสื้อผ้าโทรมๆที่เห็นเหล่านี้ไม่มีใครเห็นค่าเลยหรือ ... แต่เมื่อเห็นจำนวนที่มากพอสมควร คงต้องใช้เงินไม่น้อยเลยที่จะให้ครบทุกคน ในค่ำคืนสุดท้ายนี้จึงของดเว้นวอนขอเรื่องส่วนตัว แต่ตั้งใจสวดให้พวกผู้ยากจนเหล่านั้น เพราะบางทีความดีงามอาจไม่สามารถสร้างด้วยเงิน แต่สร้างด้วยพลังศรัทธา อัศจรรย์เกิดจากศรัทธา พระเมตตาย่อมมีแก่ทุกผู้คนไม่ว่าจะรวยจะจน...และแน่นอนสิ่งที่ลืมไม่ได้และเป็นหนึ่งความตั้งใจคือการสวดเพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมในประเทศไทย
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ผ่านมามิได้ผ่านไป
ผ่านมามิได้ผ่านไป
เคยไหมที่เป็นอย่างนี้??? ในขณะที่เรากำลังคิดถึงใคร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ไม่นานสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น คนนั้นๆก็ติดต่อเข้ามา บางคนอาจจะเรียกว่า “เป็นลางสังหรณ์” ในอีกมุมหนึ่ง นี่ต้องเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่พลังหนึ่งที่ใจส่งถึงใจ หรือเป็นเพราะด้วยแรงแห่งจิตที่ส่งถึงกัน เป็นพลังจิต พลังชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง... ในขณะที่กำลังคิดถึงเพื่อนเก่าๆสมัยที่เคยใช้ชีวิตร่วมกินอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 5 - 6 ปี เจอหน้ากันแทบทุกวัน แต่เมื่อต้องแยกย้ายก็หายหน้าหายตากัน ตามภาระหน้าที่การงานโดยไม่ได้เจอหรือติดต่อกันเลย กี่ปีแล้วนะที่ไม่เคยพบเจอพูดคุยกันเป็นหมู่คณะ ร่วมๆ20 ปีเห็นจะได้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะได้อ่านบทกวีบทนี้...
ฉันมีเพื่อนที่อยู่ไม่ไกล ในเมืองใหญ่ที่ไม่มีวันหลับใหล
และเวลาก็ยังคงผ่านไป ฉันไม่เคยรู้ว่านานแค่ไหน
แต่ฉันไม่เคยเจอเพื่อนเก่าคนนั้น…
เพราะชีวิตที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน รู้แต่ว่าเขาคงสบายดีเช่นกัน
จนวันหนึ่ง ...อยากลองไปหาดูสักที เพื่อนที่เราเคยมีความรู้สึกดี ๆ
แต่ตอนนี้เรายุ่งและเหนื่อยล้า ต้องฟันผ่ากับเกมอันหลากหลาย
เหนื่อยหน่ายกับการสร้างชื่อ
พรุ่งนี้แล้วกันนะฉันจะโทรหา... ปลอบตัวเองว่าเรายังมีเพื่อนให้คิดถึงอยู่
แต่พรุ่งนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ระยะทาง ระหว่างเรายิ่งไกล
เพื่อนที่อยู่ใกล้กลับเหมือนอยู่ห่างร้อยไมล์ จนได้ข่าวว่าเพื่อนจากเราไป
นี่คือ สิ่งที่เราสมควรได้หรืออย่างไร….
ที่ตรงนั้นไม่ไกล แต่ว่าเพื่อนฉันไม่อยู่อีกต่อไป
จงพูดอย่างที่ใจคิด ถ้าคุณรักใครสักคนก็บอกเขาไป
อย่ากลัวที่จะเผยความรู้สึก เปิดใจ และบอกคนที่มีความหมายกับคุณ
เพราะหากคุณรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม วันนั้นอาจจะช้าไป …
หาโอกาส ในวันนี้ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจทีหลัง
สิ่งที่สำคัญที่สุด จงอย่าละเลยเพื่อนและครอบครัว
เพราะพวกเขาทำให้คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นทุกวันนี้
จงยิ้ม เข้าไว้ แม้วันที่มีน้ำตา…
พออ่านกวีบทนี้จบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เป็นเบอร์ที่ไม่ได้เก็บไว้ในหน่วยความจำ เสียงปลายสายถามว่า “จำเสียงนี้ได้ไหม” สมองใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควรก็คิดไม่ออก เสียงปลายสายจึงบอกชื่อเล่น .... โอ้...เพื่อนที่เคยสนิทสนมนั่นเอง เพื่อนก็เกริ่นนำเสียยืดยาวในการติดตามหาเบอร์มือถือจนเจอ สาเหตุเพราะว่าจะมีการนัดหมายรวมรุ่นกัน เพื่อที่จะพูดคุยสังสรรค์กันมันน่าแปลก ก็เมื่อสักครู่เรายังคิดถึงกันอยู่เลย จึงรีบตกลงในทันที…
เหมือนดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้ วันที่นัดหมายมาถึงต้องเดินทางไปหาเพื่อนๆนั้น พาหนะคู่กายกลับทรยศ แอร์เกิดเสียกลางทาง จึงต้องแวะหาร้านเพื่อซ่อม เพราะวันนั้นอากาศร้อนจริงๆ และเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าไม่ทันก็ไม่ไปแล้ว บรรดาเพื่อนเก่าๆก็ทยอยไปถึงร้านและก็โทรตาม พร้อมทั้งแนะนำให้ทิ้งรถไว้แล้วนั่งแท็กซี่ไปที่หมายก่อน... กว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องรถเพื่อนๆก็อิ่มสำราญกันไปแล้ว แต่โชคยังดีที่การสนทนาเพิ่งเริ่มต้นออกรสออกชาติ แน่นอนการพูดคุยในครั้งนั้นเหมือนเป็นการเปิดบันทึกวันเวลาเก่าและวีรกรรมแก่นๆที่ได้กระทำร่วมกัน แต่ละคนก็มีมุมแสบๆคันๆของตัวเองมาถ่ายทอดและเปิดเผย บางทีเรื่องราวในอดีตก็อาจจะตักเตือนเราในปัจจุบันได้เช่นกัน ..จวบจนถึงเวลาเลิกรา ยังได้มีการนัดหมายเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัดร่วมกันอีกสักครั้ง โดยมีข้อแม้ว่าให้แต่ละคนนำครอบครัวไปด้วย .. แต่ว่าภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ยังดูเลือนลาง
สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป หาใช่เปล่าประโยชน์ ความเป็นเพื่อน การที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน บัดนี้มันกลายเป็นความห่วงใยซึ่งกันและกัน ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ห่างหายกันไป ไปเรียนรู้ในส่วนของตน ไปแสวงหาความหมายของชีวิต วันนี้ทุกคนเติบโตขึ้น มีหน้าที่การงาน แต่ในด้านหนึ่งเรามีแง่มุมชีวิตที่คล้ายๆกัน คือ เป้าหมายชีวิต ความสุขในชีวิต ต้องยึดมั่นอยู่บนความเชื่อ ความศรัทธาในพระคริสต์ หลายคนถึงกลับเปลี่ยนไปเข้าถึงความรักของพระได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน เพราะความบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสในชีวิตจนแทบไม่เห็นทางออก แต่เมื่อกลับมาพึ่งพาพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีๆ มีบ้างบางคนหมดศรัทธาแต่เพื่อนๆก็ตักเตือนว่าอย่าหมดความเชื่อในพระก็แล้วกัน
ความรักความห่วงใยที่ส่งผ่านให้กันมันหาใช่ว่าจะผ่านเลยไปอย่างไร้ผล ความรักความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ความรักต่อคนในครอบครัว รักต่อสมาชิกในสังกัด เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังที่ได้สร้างคน สร้างสรรค์ให้โลกนี้ได้ดำเนินมาอย่างมีคุณภาพ เพราะความมีอคติ เพราะความยึดมั่นถือเก่งหรือเปล่า เพราะการพลัดวันประกันพรุ่งหรือเปล่า เพราะเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความดื้อร้นหรือเปล่า ที่ปิดกั้นความรักและความอาทรของเราที่ควรจะมีต่อกัน การพบเจอพูดคุยอาจจะผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มิตรภาพและความรักควรมีให้กันตลอดไป เพราะโลกนี้อยู่ได้ด้วยพลังแห่งรัก....