วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ธนูดอกนั้น


ธนูดอกนั้น
หลังจากค่ำคืนวันคริสต์มาส อากาศในเมืองหลวงก็ลดลงจนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น หลายคนร่างกายปรับตัวไม่ได้ก็เป็นหวัด น้ำมูกไหล สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากร้อนไปสู่หนาวแบบพลิกขั้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่อ่อนแอไร้ภูมิต้านทาน ย่อมเจ็บป่วยง่ายเป็นธรรมดา รักษาร่างกายให้อบอุ่น มอบไออุ่นให้กันและกัน เพื่อว่าเราจะได้ข้ามสู่ปีใหม่อย่างแข็งแรงและเบิกบานไปด้วยกัน ..
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้นึกถึงคำฮิตมากๆในขณะนี้ นั่นก็คือคำว่า  จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า  ประโยคสั้นๆที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสังคมไซเบอร์ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ต่างก็นำไปใช้ไปเล่นกันอย่างสนุกสนาน หลายคนคงเคยเห็นเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ยังงงๆว่ามันคืออะไร มันมาจากไหน ครั้งแรกที่เห็นที่ได้ยินก็คิดว่าคงมาจากบทหนังสักเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อเสาะหาที่มาที่ไป วลีฮิตที่   โดนธนูปักเข่านี้ แท้จริงแล้ว มันเริ่มมาจากในหมู่ผู้เล่นเกมส์ The Elder Scrolls V : Skyrim    ซึ่งผู้เล่นจะต้องผจญภัยและพบปะกับตัวละครต่างๆ มากมาย จนมาถึง NPC หรือตัวละครในเกมตัวหนึ่งที่มีคำพูดว่า  “I used to be an adventurer like you, then I took an arrow in the knee.” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยประมาณว่า    เมื่อก่อนฉันก็เคยเป็นนักผจญภัยอย่างคุณ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า เลยต้องมาเป็นยาม(นี่แหละ)
ถึงแม้ว่าประโยคนี้จะถูกนำมาใช้ มาเล่นๆ แบบขำขำ เพื่อประชดประชันเสียดสีในการกระทำที่ได้รับผลลัพธ์แบบสุดขั้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือนำมาล้อเลียนประเภทว่า บบ้าง ะได้งมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตนเองเราจะมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้อย่างไรเล่าี่ของตนอย่างดีมิใช่หรือะยาน ละต่โดนเธอยิงธนูปแต่ก่อนฉันเคยรวย ตั้งแต่โดนธนูปักเข่าฉันเลยจนมาจนบัดนี้ หรือ แต่ก่อนฉันนั้นแสนดีแสนน่ารัก แต่โดนเธอยิงธนูปักที่เข่า ฉันเลยกลายเป็นคนเลวในสายตาเธอ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในประโยคนี้ให้คิดให้พิจารณาถึงชีวิตที่ผ่านมาและกำลังจะแวะเวียนหมุนเปลี่ยนสู่ปีใหม่ได้เช่นกัน เป็นปรัชญาชีวิตเลยก็ว่าได้...
ใช่หรือไม่ ในสังคมที่เจริญด้วยวัตถุและมีเครื่องมือชี้วัดมาตรฐานผู้คนที่ยศถา บรรดาศักดิ์ ที่ตำแหน่งใหญ่โต โดยที่มิได้ใส่ใจในสาระของคนๆนั้น ใครที่ไม่มีตำแหน่งย่อมไม่มีแห่งหน ไม่มีที่ยืนในสังคม ใครที่ไม่มีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตย่อมไม่ได้รับเกียรติ ทุกคนจึงจำต้องเป็นนักผจญภัย สู้ท่องไปในยุทธจักรเพื่อประกาศให้ทุกผู้คนยอมรับ เกิดการแก่งแย่งแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ทำทุกวิธีการทุกวิถีทางเพื่อไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่กว่า สู่ยศที่มากกว่า โดยมีคำอ้างที่โก้หรูว่านี่คือความทะเยอทะยานและความกระตือรือร้น และแล้วเมื่อวันหนึ่งเกิดพลาดพลังพ่ายแพ้ ถูกธนูปักลงตรงเข่า ไม่สามารถเดินผจญภัยต่อไปได้ ต้องไปทำหน้าที่ที่ต่ำต้อยกว่า ไปอยู่ในฐานะที่ลดลง ก็รับสภาพไม่ได้ แล้วก็ได้แต่เฝ้าพร่ำบ่นโทษธนูดอกนั้นที่มาปักเข่าทำให้เสียสมดุลทำให้เสียหน้า แต่กลับไม่ได้มองเลยว่า แล้วถ้ามันเกิดไปปักที่หัวล่ะ ปักเข้าที่หัวใจหรือจุดตายจุดบอดเข้าล่ะ ชีวิตย่อมหาไม่ ดีเท่าไหร่แล้วมันเพียงปักแค่เข่า...
ใช่หรือไม่ คนเราวันนี้มักไม่ค่อยยอมรับความเป็นจริง การเป็นนายพลแล้วพ่ายแพ้การสงครามในทุกครั้งจะมีประโยชน์อันใดเล่า หากเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ แต่เป็นยามที่ยอดเยี่ยมสามารถปกป้องผู้คนให้รอดปลอดภัยได้ แบบไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน นี่ไงที่สังคมบูชายศบูชาคนที่เพียงเปลือกไม่ได้ลงไปถึงสาระของทุกผู้คน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมีหน้าที่เช่นไร ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน การหาตัวเองให้พบ การพบความจริงในชีวิตและวิถีแห่งตน เดินหน้าตามกระแสเรียกที่ได้รับมาอย่างดีที่สุด เป็นการยืนยันถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แท้แล้ว เรายกย่องคนที่หัวโขน เรายกย่องยกมือไหว้คนแค่เปลือกภายนอก เราศรัทธาคนอื่นที่ไหนล่ะ...สังคมเราอยู่ได้ถึงทุกวันนี้มาจากคนเล็กๆ คนธรรมดาๆที่ช่วยกันขับเคลื่อนด้วยการทำตามหน้าที่ของตนอย่างดีตลอดมามิใช่หรือ เช่นนี้แล้วเรายังจะกล้าดูถูกผู้อื่นว่าต่ำต้อยต่ำเตี้ยกว่าเราอีกหรือ เช่นนี้แล้วพระเยซูผู้ไถ่กู้ เหตุไฉนเลือกบังเกิดมาในที่ที่ยากไร้ยากจน หากเรามองคนอื่นที่คำนำหน้า ที่ตำแหน่ง ที่เครื่องแบบสวมใส่เพียงอย่างเดียว เราจะมองพระองค์เยี่ยงไรเล่า....
ในชีวิตของเราแต่ละคนย่อมมีจุดที่พลิกผันกันได้เสมอ แล้วไอ้ธนูดอกนั้นที่มันมาปักที่เข่าเรา อาจจะทำให้เราค้นพบตัวเราก็ได้... ใช่หรือไม่
หากเราไม่เคยพบกับความผิดหวัง แล้วเราจะเห็นค่าของความสำเร็จได้อย่างไร
หากเราไม่พบกับความยากจน แล้วเราจะเห็นคุณค่าของเงินทองที่หาได้หรือ
หากเราไม่พบกับการหลอกลวง เราเลยหรือที่จะรู้จักรักแท้และมิตรภาพที่ถาวร
หากเราไม่เคยพบกับอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต เราจะมีอะไรเป็นภูมิต้านทานทุกข์ สู้กับปัญหาที่มีอยู่ทุกลมหายใจ..
หากเราไม่เคยพบกับการดูถูก เราจะเห็นค่าของตัวเองได้อย่างไร
แล้วหากว่าเราไม่ศรัทธาในตัวเอง เราจะให้อภัยใครได้เล่า...
ธนูดอกนั้น บางคนอาจจะถูกยิงถูกปักครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็สามารถทนพิษบาดแผลได้และหายกลับมายืนเผชิญหน้าท้าทายสู้กับความทุกข์ยากในชีวิตต่อไปได้ ปีใหม่กำลังจะผ่านเข้ามา วันเวลาจะผ่านไป เราเห็นศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตเรามากแค่ไหน หากว่าเรายังมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตนเองเราจะมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้อย่างไรเล่า อย่าไปโทษธนูดอกนั้นเลย แต่ต้องขอบคุณมันที่เพียงปักลงบนเข่า มิใช่ปักลงมาที่หัว ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเราก็จะไม่เหลือวันเวลา ที่จะลุกขึ้นยืนบนความหวังใหม่ในปีใหม่เช่นนี้ได้อีกต่อไป
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

ไม่มีความคิดเห็น: