วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันทา...ฟาติมา


วันทา...ฟาติมา
กองกำลังส่วนหน้าของกองทัพน้ำ ได้เข้าประชิดโอบล้อมเมืองหลวงเอาไว้แล้วทุกด้าน และเมื่อทัพใหญ่มาถึง ทุกที่ก็จมอยู่ใต้น้ำ แต่ชีวิตคนหาได้จมไปกับกระแสธารลูกใหญ่นี้ไม่ คนเราไม่มีทางอับจนย่อมดิ้นรนต่อสู้ได้เสมอ และวิธีต่อสู้ที่ได้ผลที่สุด คือการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เรียนรู้ที่จะอยู่กับอุปสรรค ปัญหามาปัญญามี ... 
มาเปิดบันทึกการแสวงบุญกันต่อในสัปดาห์นี้ ส่วนเรื่องน้ำหากจะต้องอยู่กับมันก็ต้องอยู่อย่างสุขใจและวางไว้ใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา... จากลูร์ดมุ่งสู่ฟาติมา ซึ่งอยู่คนละประเทศ ต้องใช้เวลานั่งรถถึงสองวันผ่านทางประเทศสเปนจึงจะถึงประเทศโปรตุเกส ฟาติมาดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ ที่แม่พระได้ประจักษ์แก่เด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคน ฟรังซิสโก ยาชินทา และลูซีอา เพื่อบอกกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญๆที่จะบังเกิดขึ้นบนโลก และเป็นที่กล่าวขานกันในเวลาต่อมาในนามของบันทึกลับฟาติมา (ติดตามได้ในสารวัดฉบับหน้า...)
อย่างที่เกริ่นนำมาว่าเราต้องเดินทางผ่านสเปน และเพื่อเป็นการพักรถ พัก
คน ผู้จัดจึงได้นำไปเยี่ยมสถานที่สำคัญๆบางแห่งที่เป็นทางผ่าน เช่น บ้านของนักบุญอิกญาซิโอ เมืองโลโยลา อาสนวิหารในเมืองบูร์กอส ที่งดงามไปด้วยศิลปะแห่งทองคำ ได้รับการยกย่องว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง เยี่ยมชมและสวดภาวนาที่อารามคาร์แมลที่เก็บพระธาตุของนักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา ใช่หรือไม่ มีสิ่งที่งดงามอยู่เสมอแม้ในหนทางที่เรากำลังก้าวข้ามผ่าน เช่นเดียวกับเราคนเมืองหลวงในขณะนี้ที่กำลังกอดคอกัน เพื่อก้าวข้ามผ่านภาวะน้ำท่วมไปด้วยกัน ในขณะก้าวข้ามผ่านเราได้เห็นความงดงามเกิดขึ้นมากมาย ได้มีเวลาหยุดคิดถึงหนทางชีวิต มีเวลาได้นั่งลงพักไม่รีบเร่ง แล้วได้นั่งทบทวนถึงหนทางที่ผ่านมา มีบ้างบางคนถึงกับค้นพบแรงผลักดันและแรงบันดาลใจให้เริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ เป็นเหมือนกับการหยุดพักเพื่อเติมพลัง การมุ่งหน้าให้ถึงเป้าหมาย  มากเกินไป หลายครั้งก็พลาดที่จะพบเจอสิ่งใหม่ๆที่ล้ำค่า อาจจะเทียบเท่ากับเป้าหมายที่รอคอยก็เป็นไปได้...
แต่สำหรับเป้าหมายของเราในครั้งนี้มิมีวันเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ฟาติมา เพราะความรักที่แม่พระมีให้กับเรามิมีวันลดหายลงไป การก้าวผ่านประเทศสเปน ใช้เวลานั่งอยู่บนรถเป็นส่วนใหญ่ ความเหนื่อยเมื่อยล้าย่อมมีให้เห็น แต่แล้วเมื่อลงจากทางด่วนเข้าสู่เขตฟาติมา ความเมื่อยล้าถูกสะบัดให้หลุดไป เหลือแต่เพียงสายตาที่เพ่งไปสู่วงเวียนที่มีรูปปั้นของทั้งสาม ลูซีอา ยาชินทา และฟรังซิสโก  ที่ดูเหมือนมุ่งมั่นและกำลังเดินไปหาอะไรสักอย่าง ... แล้วการเดินทางก็สิ้นสุดหยุดลงที่ฟาติมา
ยามเย็นฟ้ามืด แต่ยอดหอระฆังวัดเริ่มทอแสง หลังอาหารค่ำเป็นเวลาที่จะร่วมสวดสายประคำและแห่แม่พระ ขณะที่เดินผ่านลานโล่งหน้าวัดแห่งการประจักษ์ ความรู้สึกว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ขณะนี้เราได้มายืนอยู่ที่ฟาติมา ขอวันทา ฟาติมา วันทา มารีย์ การสวดสายประคำในค่ำคืนนี้ คณะของเราได้มีโอกาสส่งตัวแทน เพื่อนำสวดบทวันทามารีย์ 5 บทเป็นภาษาไทย ในข้อรำพึงที่สาม ทุกคนต่างรอฟังเสียงผู้ก่อนำผ่านทางลำโพงใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ แล้วเมื่อถึงเวลา บทวันทามารีย์ในนามภาษาไทยก็ดังขึ้น ทุกคนจึงร่วมประสานเสียงในท่อนรับ สันตะมารีย์พระมารดาพระเจ้า... อาแมน โดยพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่ผู้แสวงบุญจากประเทศอื่นก็สวดตามภาษาของตนเอง และที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก แม้จะแตกต่างด้วยสำเนียงภาษา แต่ทุกคนก็มาจบลงในจุดเดียวกัน คือ อาแมน โดยพร้อมเพรียงกัน ใช่หรือไม่ หากว่าทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันบ้าง ย่อมต้องบรรจบพบเจอ ณ จุดปลายทางได้เสมอ..
ที่ฟาติมาจะแตกต่างจากลูร์ด ก็ตรงที่จะร่วมกันยืนสวดต่อหน้าพระรูปแม่พระหน้าวัดน้อย จนครบหนึ่งสายประคำ แล้วจึงจะมีการแห่ แต่ที่ลูร์ดจะสวดไปพร้อมๆกับการเดินแห่ ขบวนแห่ที่ยาวเหยียด พร้อมบทเพลง อเว อเว อเว มารีอา โคมไฟ ที่เป็นเหมือนแสงเล็กๆส่องนำทาง แต่เมื่อมารวมกันความสว่างก็มีมากพอเพื่อให้เราเดินไปตามทางได้อย่างสะดวก เป็นภาพที่สวยงาม เป็นกระแสธารแห่งแสงเทียน เป็นคลื่นทองส่องในยามค่ำคืน...  
ในค่ำคืนแรกบางคนขอจบด้วยการเดินเข่าสวดภาวนา ที่ฟาติมาจะมีทางเอาไว้สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะพลีกรรมด้วยการเดินเข่าสวดภาวนา แม้จะยาวแต่สำหรับผู้มีหัวใจแห่งศรัทธานี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความยากลำบากของพระเยซูคริสตเจ้าและพระแม่มารีย์พระมารดา และแน่นอนเราก็สวดวิงวอนแม่พระเพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกๆคน แม้ว่าจะมีบางคนในพวกเราเมื่อกลับบ้านประเทศไทยแล้วต้องเปลี่ยนสถานะ เป็นผู้อพยพลี้ภัยน้ำท่วมด้วยเช่นกัน...

http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

ไม่มีความคิดเห็น: