วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตะวันลับฟ้าหน้าวาติกัน


ตะวันลับฟ้าหน้าวาติกัน

การเดินทางในทุกครั้งย่อมมีวันสิ้นสุด หยุดลงตรงเป้าหมายปลายทางตามกาลกำหนด กับการเดินบนหนทางชีวิต แม้จะรู้ว่ามีวันสิ้นสุด แต่มิอาจจะหยั่งรู้ถึงกำหนดวันสุดท้ายได้ (มีบ้างบางคนที่เร่งรัด รวบรัด ตัดตอนด้วยการฆาตรกรรมตนเอง)  ฉะนั้นแล้วทุกวันเวลาย่อมหมายถึงวันสิ้นสุดได้ในทุกวินาที จะมีสักกี่คนที่หมั่นพร่ำบอกตัวเองว่า ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีแต่ต้องนอนยาวแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง  หลายคนยังคงหลอกตัวเอง หลอกลวงคนอื่น สร้างความระทมให้คนอื่น ตกอยู่บนกองทุกข์โดยมีข้ออ้างและเหตุผล เพื่อหลอกตัวเอง และยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ว่าคือสิ่งถูกต้อง
การเดินทางแสวงบุญในครั้งนี้เป้าหมายสุดท้าย ป้ายสุดทางอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อเยี่ยมชมนครรัฐวาติกัน ศูนย์รวมของพระศาสนจักรคาทอลิกของเรา ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อ ประวัติศาสตร์ที่มีทั้งด้านงดงามและด้านมืดมัว และโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้าทำให้พระศาสนจักรมั่นคงถาวรมาจวบจนทุกวันนี้...
จากฟาติมามาโรม จากลาโปรตุเกสมาคารวะอิตาลี คณะเดินทางต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาขึ้นเครื่องให้ทันเวลา เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิด ดูเหมือนเพื่อให้เราได้เรียนรู้โลกและเรียนรู้ที่จะฝึกฝนความอดทน เมื่อเดินทางมาถึงกรุงโรม กระเป๋าเดินทางถูกโยนอย่างแรงจนทำให้พังยับ ต้องลากจูงอย่างลำบาก หะแรกคิดว่าทำไมหนอโชคร้ายจึงตกเป็นของเรา และเมื่อตรวจสอบทั้งคณะแล้ว เป็นเช่นนี้ถึง 3-4 คน โอ้... โลกนี้ยังมีเพื่อนร่วมทุกข์เสมอ อย่าคิดว่าทุกข์อยู่คนเดียว 
ที่กรุงโรม เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ซากของเมืองเก่ายังคงปรากฏให้เห็น โคลิเซียม ถนนที่ยังคงเป็นแบบเดิมๆ เป็นถนนที่ใช้สำหรับรถม้า แม้ว่าวันนี้ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยรถรา รถม้ารถลาไม่มีให้เห็น การเยี่ยมชมความงามและสวดภาวนาทั้งสี่มหาวิหารคือสิ่งที่เราคริสตชนคาทอลิกไม่พลาด (มหาวิหารนักบุญเปโตร มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง มหาวิหารนักบุญยวงลาเตรัน และมหาวิหารแม่พระแห่งภูเขาหิมะ) เพื่อจรรโลงให้ความเชื่อและความศรัทธาเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น การได้ร่วมมิสซาเช้าภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร ก็นับว่าเป็นอะไรที่เปี่ยมสุขและโดยเฉพาะบทเทศน์ของมงซิญอร์ วิษณุ ธัญญอนันต์ผล ที่บอกเล่าถึงการต้อนรับคนไทยที่เข้ามาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้มิขาดสาย ทั้งคนคริสต์และคนต่างศาสนา ประโยคหนึ่งที่คุณพ่อถ่ายทอดไว้ยังจำมิมีวันลืม คนเรามักชอบแสวงหา แต่ก็ไม่เคยพบ ใช่...เรามาแสวงบุญแล้วเราได้บุญกลับไปหรือเปล่า ได้ความศรัทธาที่เพิ่มพูนขึ้น หรือเพียงแค่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆในสิ่งที่แตกต่างเพียงเท่านั้นหรือไม่ เป็นบทรำพึงประจำวันนั้นได้อย่างดี ...

ช่วงบ่ายวันสุดท้ายที่กรุงโรม เป็นเวลาว่างเพื่อให้ทุกคนเที่ยวชมหรือซื้อสิ่งของฝากญาติสนิทมิตรสหายตามอัต(เงิน)ภาพ สิ่งหนึ่งที่หวังไว้คืออยากจะมีเวลาไปคารวะและสวดภาวนาต่อหน้าหลุมพระศพของบุญราศี จอห์น ปอล ที่ 2 ภายในมหาวิหารนักบุญเปโตร ทั้งๆที่ตอนเช้าได้เข้ามาเพื่อร่วมมิสซารอบหนึ่งแล้ว แต่หน้าพระศพยังไม่เปิดให้เข้าไปสวด ในตอนบ่ายผู้คนเริ่มมาก ต้องต่อแถวเพื่อเข้าชมยาวจนถึงหน้าลานมหาวิหาร แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินรอประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้มีโอกาสไปคุกเข่าสวดภาวนาต่อหน้าพระศพ บุคคลที่เคารพรักอย่างยิ่ง ...

ใช้เวลาดื่มด่ำส่วนตัวในมหาวิหารจนเมื่อยล้าขาพอควร เวลายังมีเหลือสำหรับคนที่จะซื้อของฝาก รูปพระ ศาสนภัณฑ์มากมีให้จับจ่าย แต่ด้วยความที่ไม่ถนัดนักจึงขออาสาเป็นฝ่ายเฝ้าของ รออยู่ที่จุดนัดหมาย แสงทองยามเย็นค่อยๆร่วงหล่นหลังโดมมหาวิหาร ใจหนึ่งอยากจะวิ่งไปหามุมเพื่อถ่ายถาพเก็บไว้ แต่เมื่อเห็นสิ่งของต่างๆที่อาสาเฝ้าไว้แล้วก็มิอาจจะเคลื่อนกายไปไหนได้ ได้แต่นั่งมองและรำพึงถึงเรื่องราวต่างๆนานา เพื่อให้แสงตะวันลับฟ้าหน้าวาติกันเป็นเพื่อนร่วมกาลเวลา...
แสงแดดแห่งกลางวันกำลังจะลาลับ ความเย็นยะเยือกและความมืดเริ่มก่อร่างขึ้น วันเวลาคงผันผ่านไปในแต่ละวัน ข้างหน้าคือมหาวิหารนักบุญเปโตรเด่นเป็นสง่า ได้ผ่านกลางวัน กลางคืน ผ่านร้อนผ่านหนาวมายุคแล้วยุคเล่า เปลี่ยนผ่านผู้นำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง องค์สมเด็จพระสันตะปาปาผู้สืบสานงานต่อจากพระเยซูเจ้า ผู้ได้รับการคัดสรร เพื่อนำพาหมู่มวลมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ บนพื้นฐานแห่งความรัก สถานที่เล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณแห่งนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ต่อเราเสมอมา

แล้ว...กลางวัน กลางคืน ที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในชีวิตเราล่ะ ได้พบเจอความสุขสงบมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางหมู่คนที่เห็นแก่ตัว ท่ามกลางการแข่งขัน ท่ามกลางความหลอกลวง ท่ามกลางการทรยศหักหลัง และความชั่วร้ายหมายทำลายล้างกัน เป็นดั่งกลางคืนที่แสนยาวนานในชีวิตจริงของเราหรือไม่ หรือ...เป็นกลางวันที่มีแต่แสงแดดแห่งความเกลียดชัง คลั่งแค้น แสงแห่งการเข่นฆ่าที่แผดเผา วันเวลาที่ผ่านมาเราปล่อยให้ชีวิตเวียนว่ายภายใต้สิ่งเหล่านี้หรือไม่ แสงตะวันลับลาขอบฟ้าลดความร้อนแรง แต่กำลังนำพาไปสู่ความมืดมัว หาเป็นเช่นนั้นไม่...
 เมื่อสิ้นแสงแรงกล้าแห่งวัน ควรที่จะลดความร้อนรุ่มในใจลง เพื่อให้เราก้าวสู่ความสงบท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน อยู่กับตัวตน ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ทำมา ใช่หรือไม่ หากใจไม่สงบเสียแล้ว กลางวันยิ่งร้อนรุ่มกลางคืนยิ่งยาวนานและสับสน ใช่หรือไม่ บางทีเรามิต้องเดินทางแสวงหาค้นทางธรรมไกลสุดขอบฟ้า ทั้งๆที่สันติอยู่ในใจเราแต่เรามองข้ามไปวันแล้ววันเล่า เพียงแค่บางครั้งหยุดแสวงหาก็เป็นการค้นพบความหมายของชีวิตได้แล้วเช่นกัน...

ไม่มีความคิดเห็น: