วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มีชีวิตเพื่อสู้


มีชีวิตเพื่อสู้
ถ้าเป็นในสภาวะปกติเวลาใกล้ๆสิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงมีหัวใจที่ฟูฟ่อง ร่าเริง เพื่อเตรียมรับรางวัลแห่งความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดปี แต่สำหรับปีนี้ดูเหมือนว่าเป็นปีที่เศร้าของคนหลายๆคนที่ต้องตกอยู่ในสภาพวิกฤต จมอยู่ใต้น้ำนานนับเดือน ทำให้หัวใจท้อแท้สิ้นหวัง ยากที่จะกู้กลับมาใหม่ แต่ว่า ชีวิตของเรานี้มีเพื่อสู้ ดังนั้นวันนี้ขอนำเอาตัวอย่างของคนสู้ชีวิตผู้มีหัวใจร่าเริง เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้สู้ยิ้มรับปีใหม่ด้วยกัน...
ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถหลายคัน บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็กๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว  วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น
      “พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้ เด็กหญิงพูด ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก” “ร้องไห้ทำไม ไม่เห็นเศร้าอะไร ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ เด็กหญิงตอบยิ้มๆ ผู้เป็นพ่อแปลกใจ จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้” “ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

       ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นว่า แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต จะได้เรียนสูงๆ” “พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน  ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ
      “มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้างๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คนๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ เด็กหญิงว่า... เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เป็นพ่อจึงไปบ้านของชายคนดังกล่าว ดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดาๆ หลังหนึ่งเท่านั้น ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อยๆ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ แล้วเธอก็เดินหายไปในห้องๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กันกับห้องรับแขก
       “เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะชายผู้นี้เดินเก้ๆ กังๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่...ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดาๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น เอ่อ... ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างๆ เตียง
ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า... ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ เขาชักไม่แน่ใจ... หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละชายพิการเริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึงสาเหตุแห่งความพิการ
       “หลังจากเป็นแบบนี้ ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ชายพิการตอบยิ้มๆ ถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั่นทำนี่ แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้ พูดจบชายพิการก็หันไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ หัวเตียง ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้น
       “ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก ชายผู้มาเยือนว่า ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ... เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ผมว่าผมสู้ดีกว่า... ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ
      “ผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง (จาก http://www.manager.co.th/Family) แล้วเราๆท่านๆยังจะสู้อยู่หรือเปล่า....

ไม่มีความคิดเห็น: