ผ่านมามิได้ผ่านไป
เคยไหมที่เป็นอย่างนี้??? ในขณะที่เรากำลังคิดถึงใคร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ไม่นานสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น คนนั้นๆก็ติดต่อเข้ามา บางคนอาจจะเรียกว่า “เป็นลางสังหรณ์” ในอีกมุมหนึ่ง นี่ต้องเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่พลังหนึ่งที่ใจส่งถึงใจ หรือเป็นเพราะด้วยแรงแห่งจิตที่ส่งถึงกัน เป็นพลังจิต พลังชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง... ในขณะที่กำลังคิดถึงเพื่อนเก่าๆสมัยที่เคยใช้ชีวิตร่วมกินอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 5 - 6 ปี เจอหน้ากันแทบทุกวัน แต่เมื่อต้องแยกย้ายก็หายหน้าหายตากัน ตามภาระหน้าที่การงานโดยไม่ได้เจอหรือติดต่อกันเลย กี่ปีแล้วนะที่ไม่เคยพบเจอพูดคุยกันเป็นหมู่คณะ ร่วมๆ20 ปีเห็นจะได้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะได้อ่านบทกวีบทนี้...
ฉันมีเพื่อนที่อยู่ไม่ไกล ในเมืองใหญ่ที่ไม่มีวันหลับใหล
และเวลาก็ยังคงผ่านไป ฉันไม่เคยรู้ว่านานแค่ไหน
แต่ฉันไม่เคยเจอเพื่อนเก่าคนนั้น…
เพราะชีวิตที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงและแข่งขัน รู้แต่ว่าเขาคงสบายดีเช่นกัน
จนวันหนึ่ง ...อยากลองไปหาดูสักที เพื่อนที่เราเคยมีความรู้สึกดี ๆ
แต่ตอนนี้เรายุ่งและเหนื่อยล้า ต้องฟันผ่ากับเกมอันหลากหลาย
เหนื่อยหน่ายกับการสร้างชื่อ
พรุ่งนี้แล้วกันนะฉันจะโทรหา... ปลอบตัวเองว่าเรายังมีเพื่อนให้คิดถึงอยู่
แต่พรุ่งนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ระยะทาง ระหว่างเรายิ่งไกล
เพื่อนที่อยู่ใกล้กลับเหมือนอยู่ห่างร้อยไมล์ จนได้ข่าวว่าเพื่อนจากเราไป
นี่คือ สิ่งที่เราสมควรได้หรืออย่างไร….
ที่ตรงนั้นไม่ไกล แต่ว่าเพื่อนฉันไม่อยู่อีกต่อไป
จงพูดอย่างที่ใจคิด ถ้าคุณรักใครสักคนก็บอกเขาไป
อย่ากลัวที่จะเผยความรู้สึก เปิดใจ และบอกคนที่มีความหมายกับคุณ
เพราะหากคุณรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม วันนั้นอาจจะช้าไป …
หาโอกาส ในวันนี้ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจทีหลัง
สิ่งที่สำคัญที่สุด จงอย่าละเลยเพื่อนและครอบครัว
เพราะพวกเขาทำให้คุณเป็นอย่างที่คุณเป็นทุกวันนี้
จงยิ้ม เข้าไว้ แม้วันที่มีน้ำตา…
พออ่านกวีบทนี้จบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เป็นเบอร์ที่ไม่ได้เก็บไว้ในหน่วยความจำ เสียงปลายสายถามว่า “จำเสียงนี้ได้ไหม” สมองใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควรก็คิดไม่ออก เสียงปลายสายจึงบอกชื่อเล่น .... โอ้...เพื่อนที่เคยสนิทสนมนั่นเอง เพื่อนก็เกริ่นนำเสียยืดยาวในการติดตามหาเบอร์มือถือจนเจอ สาเหตุเพราะว่าจะมีการนัดหมายรวมรุ่นกัน เพื่อที่จะพูดคุยสังสรรค์กันมันน่าแปลก ก็เมื่อสักครู่เรายังคิดถึงกันอยู่เลย จึงรีบตกลงในทันที…
เหมือนดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้ วันที่นัดหมายมาถึงต้องเดินทางไปหาเพื่อนๆนั้น พาหนะคู่กายกลับทรยศ แอร์เกิดเสียกลางทาง จึงต้องแวะหาร้านเพื่อซ่อม เพราะวันนั้นอากาศร้อนจริงๆ และเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าไม่ทันก็ไม่ไปแล้ว บรรดาเพื่อนเก่าๆก็ทยอยไปถึงร้านและก็โทรตาม พร้อมทั้งแนะนำให้ทิ้งรถไว้แล้วนั่งแท็กซี่ไปที่หมายก่อน... กว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องรถเพื่อนๆก็อิ่มสำราญกันไปแล้ว แต่โชคยังดีที่การสนทนาเพิ่งเริ่มต้นออกรสออกชาติ แน่นอนการพูดคุยในครั้งนั้นเหมือนเป็นการเปิดบันทึกวันเวลาเก่าและวีรกรรมแก่นๆที่ได้กระทำร่วมกัน แต่ละคนก็มีมุมแสบๆคันๆของตัวเองมาถ่ายทอดและเปิดเผย บางทีเรื่องราวในอดีตก็อาจจะตักเตือนเราในปัจจุบันได้เช่นกัน ..จวบจนถึงเวลาเลิกรา ยังได้มีการนัดหมายเพื่อไปพักผ่อนต่างจังหวัดร่วมกันอีกสักครั้ง โดยมีข้อแม้ว่าให้แต่ละคนนำครอบครัวไปด้วย .. แต่ว่าภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ยังดูเลือนลาง
สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป หาใช่เปล่าประโยชน์ ความเป็นเพื่อน การที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน บัดนี้มันกลายเป็นความห่วงใยซึ่งกันและกัน ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ห่างหายกันไป ไปเรียนรู้ในส่วนของตน ไปแสวงหาความหมายของชีวิต วันนี้ทุกคนเติบโตขึ้น มีหน้าที่การงาน แต่ในด้านหนึ่งเรามีแง่มุมชีวิตที่คล้ายๆกัน คือ เป้าหมายชีวิต ความสุขในชีวิต ต้องยึดมั่นอยู่บนความเชื่อ ความศรัทธาในพระคริสต์ หลายคนถึงกลับเปลี่ยนไปเข้าถึงความรักของพระได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน เพราะความบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสในชีวิตจนแทบไม่เห็นทางออก แต่เมื่อกลับมาพึ่งพาพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีๆ มีบ้างบางคนหมดศรัทธาแต่เพื่อนๆก็ตักเตือนว่าอย่าหมดความเชื่อในพระก็แล้วกัน
ความรักความห่วงใยที่ส่งผ่านให้กันมันหาใช่ว่าจะผ่านเลยไปอย่างไร้ผล ความรักความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ความรักต่อคนในครอบครัว รักต่อสมาชิกในสังกัด เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังที่ได้สร้างคน สร้างสรรค์ให้โลกนี้ได้ดำเนินมาอย่างมีคุณภาพ เพราะความมีอคติ เพราะความยึดมั่นถือเก่งหรือเปล่า เพราะการพลัดวันประกันพรุ่งหรือเปล่า เพราะเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความดื้อร้นหรือเปล่า ที่ปิดกั้นความรักและความอาทรของเราที่ควรจะมีต่อกัน การพบเจอพูดคุยอาจจะผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มิตรภาพและความรักควรมีให้กันตลอดไป เพราะโลกนี้อยู่ได้ด้วยพลังแห่งรัก....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น