วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งดีๆที่มีในค่ำคืนนั้น


สิ่งดีๆที่มีในค่ำคืนนั้น
ค่ำคืนคริสต์มาสในวัดเซนต์หลุยส์ของเรา ผ่านไปอีกครั้ง ยังคงมีมนต์ขลัง แฝงพลังแห่งความสุขที่พบเจอในทุกๆปี งานที่สำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนั้นเกิน ครึ่งหนึ่งมาจากน้ำใจของผู้ที่มาร่วมตระเตรียมและเป็นผู้นำความสุขมาให้อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ตลอดหลายสัปดาห์ในวันอาทิตย์บ้านพักพระสงฆ์ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของที่จะนำมาเป็นของขวัญ ของรางวัล การจำแนกแยกแยะเพื่อจัดสรรจึงต้องอาศัยผู้อาสา จากวันนั้นจนถึงค่ำคืนนี้ ของทุกชิ้นถูกนำมาส่งต่อกระจายไปตามผู้ที่ได้มาร่วมงานในค่ำคืนนั้น ผ่านทางการละเล่นต่างๆ
ก่อนออกเดินทาง ท่านนักบุญยอแซฟได้ตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ อาหารคนอาหารลา น้ำดื่มน้ำกินต้องพร้อม เพราะข้างหน้านั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ หญิงสาวของเขาผู้น่าสงสาร แต่เธอเข้มแข็งจนทำให้เขาลุกขึ้นสู้อย่างมั่นคง จากความวุ่นวายใจ ที่จับต้นชนปลายไม่ถูก บัดนี้ละลายหายไปสิ้นเพราะความงดงามแห่งมารดาพระผู้ไถ่ เธอยอมแม้จะเสียชื่อเสียงและน้อมรับการดูแคลนของคนรอบข้างได้อย่างหนักแน่น แล้วลูกผู้ชายอย่างเขามีหรือที่จะระย่อท้อต่อความลำบาก .....พระนางมารีย์เช่นกัน เธอรู้อยู่แล้วว่าอีกไม่นานพระบุตรจะบังเกิด ในระหว่างเดินทางไปยังต่างบ้านต่างเมือง การเตรียมตัวให้พร้อม จัดเรียงความคิดอย่างเป็นระบบ เป็นจุดเริ่มต้นขององค์สันติราชาผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าความบีบคั้นในรอบด้าน อาจจะทำให้ท้อแท้บ้าง แต่เพื่อพระเจ้าผู้เป็นองค์ความรักอันยิ่งใหญ่แล้ว เธอจะไม่มีวันท้อถอย การรอคอยที่จะได้ร่วมเดินทางกับพระบุตรคือจุดสูงสุดยอดของผู้เป็นแม่ พระนางยิ้มให้ท่านยอแซฟเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเธอพร้อมแล้วสำหรับภารกิจที่จะเกิดขึ้นนี้
และแล้วเมื่อความมืดคืบคลานมาเยือน ผู้คนต่างทยอยมาร่วมงาน คุณพ่อสุพจน์และคุณพ่อปลัดทั้งสองร่วมเปิดงาน ความบันเทิงรอบวัดก็เริ่มขึ้น เด็กๆแถวยาวเหยียดความสนุกบนบ้านลม ทำให้ผู้ผ่านโลกมาก่อนอดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้ม เมื่อได้เห็นเด็กน้อยวิ่งวุ่นซุกซนปีนป่ายไปบนยอดบ้านแล้วทิ้งตัวสไลด์ลงมา เสียงหัวเราะของพวกเด็กนั้นมันสร้างโลกให้งดงามจริงๆ ในศาลาหลุยส์ความบันเทิงจากการเล่นเกมต่างๆ นำความครื้นเครงมาเพิ่มสีสันในงานสอยดาว ที่เป็นกิจกรรมเคียงคู่งานคริสต์มาสยังเต็มไปด้วยผู้คน ลานหน้าบ้านพักพระสงฆ์เต็ม มีผู้ที่ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ค่อยๆสอย ค่อยๆเปิด ค่อยๆแลกของรางวัล แม้ว่าจะวุ่นวายสับสนไปบ้าง แต่มันก็คือความสุขที่ส่งต่อกัน “GLORIA” ใครได้คำนี้มีลุ้นรางวัลใหญ่ ถัดมาความสนุกไม่แพ้กันและเป็นจุดรวมพลคนสุขแห่งปี ต้องที่นี่เกมบิงโก ลุ้นกันสนุกสนาน เดินไปเดินมาได้ยินเสียงประกาศว่าสอยดาวหมดแล้ว แต่บิงโกยังมีเหลือเพื่อความสนุก
เมื่อท่านทั้งสองได้เดินทางมาถึงเบธเลเฮม ผู้คนมากมาย อุปสรรคมากมีเริ่มมีให้เห็น เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานของผู้เดินทาง การพบปะระหว่างญาติมิตร ความบันเทิงเริงร่ามีอยู่ทั่วเมือง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและอาการของคนใกล้คลอด ท่านยอแซฟจำต้องเก็บความอ่อนล้าเอาไว้ มุ่งตรงไปตามที่พักแรมต่างๆทุกที่เต็มหมด แต่ยังไม่หมดหนทางเสียทีเดียว เมื่อมีคนผู้หนึ่งได้ชี้นำทาง คอกเลี้ยงสัตว์น่าจะพอเป็นกำบังภัยและมีความอบอุ่นพอสำหรับเด็กน้อย ท่านยอแซฟไม่รีรอ นำพระนางมารีย์เข้าที่พักแสนอัตคัดในทันที
หลายคนถือถุงของขวัญ ของรางวัล ใบเล็กบ้างใบใหญ่บ้างผ่านไป ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้ม รอยยิ้มที่ไม่ได้หมายความว่า ได้สิ่งของรางวัลอันใหญ่ หรือเป็นรอยยิ้มเยาะที่ได้แต่รางวัลพื้นๆ แต่ทุกรอยยิ้มนั้นมันคือความสุขมวลรวมที่บอกว่า บรรยากาศคริสต์มาสคือการได้มาร่วมสนุก มาร่วมแบ่งปันรอยยิ้ม เสียงหัวเราะร่วมกัน ใช่หรือไม่ สิ่งของเหล่านั้นเราจะหาซื้อเมื่อไรก็ได้ แต่ความสุขแบบนี้หาซื้อได้เพียงค่ำคืนนี้คริสต์มาสนี้ปีละครั้งเท่านั้น มูลค่านั้นไม่เท่ากับคุณค่าที่ได้รับและได้ให้
แล้วการบังเกิดของกุมารองค์น้อยมายังโลกก็ได้เป็นจริงในค่ำคืนนั้น ล้อมรอบด้วยไออุ่นจากสัตว์เลี้ยงในคอกนั้น ไม่นานคนเลี้ยงก็กลับมา แล้วเห็นการเกิดมาของเด็กน้อย ทุกคนต่างเข้ามาร่วมยินดี แม้ไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ใช่หรือไม่ การเกิดของคนๆหนึ่งย่อมนำมาซึ่งความยินดีปรีดาเสมอ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน สถานที่เช่นไร ความอบอุ่นของผู้ร่วมในเหตุการณ์นั้นแม้จะไม่ยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนั้น แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายหลังจะมีคนระลึกถึงต่อมาอย่างชั่วกาลนาน การเกิดมาของคนคนหนึ่งนั้น ควรนำมาซึ่งคุณค่าให้แก่ผู้คน...
มีการจัดประกวดถ้ำ สถานที่บังเกิดของพระกุมาร มีผู้ร่วมรังสรรค์ถึง 17 ถ้ำ แต่ละถ้ำมีความงดงามแตกต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันคือทุกถ้ำสร้างสรรค์จากหัวใจที่ต้องการสร้างให้พระกุมารได้บังเกิดอย่างดีที่สุด การตัดสินว่าถ้ำไหนงดงามก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่เป็นเพียงปลีกย่อย
ค่ำคืนที่แสงแห่งดาวสาดส่องลงมายังที่บังเกิดน้อย ความสุขสงบเกิดขึ้นในทันที ความเหนื่อยล้าของท่านยอแซฟและพระนางมารีย์หายไปหมดสิ้น คนเลี้ยงสัตว์ต่างๆก็ช่วยกันก่อไฟสุมฟืน ต้มน้ำ อยู่ยาม และทุกอย่างที่พอจะช่วยเหลือท่านทั้งสองได้ มิตรภาพที่มิได้มาด้วยเงินทอง มิตรภาพที่เกิดจากน้ำใจให้กัน เป็นมิตรภาพที่ยั่งยืนและงดงามยิ่งนัก
มิสซาค่ำคืนคริสต์มาสผู้คนมากมายล้นหลาม ทั้งในวัดและนอกวัด คนมากเสียยิ่งกว่าตอนหัวค่ำที่มีงานรื่นเริง ความงดงามของถ้ำในวัด บทเพลงอันไพเราะและการจัดบรรยากาศเพื่อการฉลองนี้นำมาซึ่งความยินดีปรีดายิ่ง ค่ำคืนนี้สิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย ความสุขส่งผ่านให้กันด้วยรอยยิ้ม พระกุมารในค่ำคืนนั้น บัดนี้ ได้รับการต้อนรับอย่างงดงามและเปรมปรีดิ์ขึ้น จากเด็กน้อยคนหนึ่งในดินแดนแสนไกลกันดาร บัดนี้ได้มาอยู่กลางใจเราและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขยินดี....

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หากถ้ำนั้นเป็น...


หากถ้ำนั้นเป็น...
คืนพรุ่งนี้แล้วสิ... ค่ำคืนแห่งความชื่นชมยินดี ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองการบังเกิดมาของเด็กน้อยในถ้ำเลี้ยงสัตว์ สีสันและบรรยากาศคริสต์มาสเต็มไปทุกหนทุกแห่ง ภายในวัดของเราก็มีการประดับตกแต่งวัด ติดไฟอย่างสวย และยังมีกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นมากมาย โดยอาศัยผู้เสียสละเวลา มาช่วยตระเตรียมงาน กิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือ การประกวดถ้ำ หรือเรียกว่า การทำถ้ำมาประกวดกัน มีการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ที่น่าสนใจไม่ใช่อยู่ที่การแข่งขันเพื่อช่วงชิงเงินรางวัล แต่กิจกรรมนี้หากมองให้ลึกลงไปแล้ว มีบทสอนเราหลายเรื่อง
ประการแรก การทำถ้ำให้พระมาบังเกิดนั้นมันสะท้อนถึงว่า เราปรารถนาจะให้พระมาบังเกิดแบบไหน แน่หล่ะ...เรามีความเชื่อว่าองค์พระกุมารบังเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ ตามสภาพแวดล้อมของประเทศอิสราเอล และตามประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา นั่นคือ ในพระคัมภีร์ พระเยซูเกิดในรางหญ้า (ลก. 2:7) ซึ่งว่ากันจริงๆแล้วเราก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากในแถบเมืองเบธเลเฮมมีถ้ำอยู่มากมาย ที่พวกดูแลฝูงแกะใช้เป็นที่พักของสัตว์(รางหญ้า)และตัวเอง จึงเป็นเหตุทำให้เราเชื่อว่า รางหญ้าที่พระวรสารอ้างถึงนั้นคงอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในเมืองเบธเลเฮมนั่นเอง
สำหรับประเพณีการทำถ้ำนั้นมาจากอิตาลีโดยนักบุญฟรังซีส อัสซีซี เป็นผู้เริ่ม โดยในวันคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1223 ท่านนักบุญฟรังซีส เชิญชวนชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้าน Greccio ที่ท่านอยู่ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้ำพระกุมารและใช้สัตว์จริงๆเช่น วัวและลา อยู่ในถ้ำด้วย จากนั้นก็จุดเทียนยืนรอบๆถ้ำที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจนถึงสว่าง และฟังมิสซาด้วยกัน นับตั้งแต่นั้นมาประเพณีการทำถ้ำพระกุมารก็แพร่หลายไปทั่วทุกแห่ง
ประเพณีการประดับตกแต่งเป็นพิเศษในวันคริสต์มาสนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานเช่นกัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีบันทึกว่าในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีประเพณีการประดับตกแต่ง สำหรับทุกบ้าน และทุกวัดในวันคริสต์มาสที่ต้อง ตกแต่งด้วยโอ๊กโฮล์ม ไอวี เบย์ลอเรลและอะไรก็ตาม ที่ในฤดูกาลนี้ที่ออกผลผลิตเป็นสีเขียวเช่น ใบไอวีรูปหัวใจ กล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์การเสด็จมายังโลกมนุษย์ของพระเยซู สิ่งประดับตกแต่งหลายๆประเภทได้พัฒนาขึ้นทั่วโลกที่เป็นคริสตชน และสิ่งตกแต่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับประเพณีท้องถิ่นและทรัพยากรที่หาได้ สำหรับของประดับที่ผลิตขึ้นเชิงพาณิชย์ครั้งแรกปรากฏในเยอรมนี ในคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโซ่กระดาษที่เด็กทำในประเทศ ซึ่งเป็นการแทนฉาก (ถ้ำ) คริสตสมภพ เป็นที่นิยมมาก ผู้คนต่างได้รับการสนับสนุนให้ประกวด และสร้างฉาก (ถ้ำ) เหมือนดั้งเดิมหรือเหมือนจริงที่สุด ในบางครอบครัว แม่พิมพ์ที่ใช้ทำฉาก (ถ้ำ) นั้นถูกมองว่าเป็นมรดกมีค่าประจำตระกูลทีเดียว นี่จึงเป็นเหมือนมรดก ศรัทธา  ที่สืบทอดมาถึงพวกเรา ให้เราได้มีส่วนร่วมในการบังเกิด แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ก็ตาม แต่หากเราได้สร้างสีสันความงดงาม สร้างบรรยากาศให้เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ อย่างน้อยก็ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้รำลึกถึงและถามไถ่ถึงการบังเกิดมาของ พระเยซูคริสตเจ้า
และเพื่อให้มีบรรยากาศในการมีส่วนร่วมมากยิ่งๆขึ้น ในหลายๆแห่งจึงจัดให้มีการประกวดความงดงาม ความคิดสร้างสรรค์ ของถ้ำพระกุมาร และที่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นถ้ำ ก็เพื่อเชื่อมโยงยึดว่าสถานที่เกิดของพระผู้ไถ่นั้น เรียบง่ายถึงขั้นขัดสน เสียด้วยซ้ำไป ทำให้คิดต่อไปว่า แล้วทำไมพระองค์ไม่เลือกเกิดในปราสาทราชวังเล่า ทั้งๆที่มีสิทธิที่จะเป็นดั่งนั้นได้ ข้อนี้สอนเราว่า ภารกิจการเกิดมาของเรานั้นแท้จริงแล้วเพื่อผู้อื่น หาใช่การเกิดเพื่อให้ผู้อื่นมารับใช้เรา ใช่หรือไม่ ประเด็นนี้เองเราเห็นถึงความผิดเพี้ยนของการมีชีวิตบนโลกนี้ในยุคสมัย ที่ต้องการให้ทุกสรรพสิ่งมารับใช้เราและตอบสนองเรา จึงเกิดการดิ้นรนแข่งขัน และทำทุกสิ่งให้ได้ดั่งหวัง วิถีชีวิตแห่งสังคมองค์รวมจึงค่อยๆพังเพราะความคาดหวังจากคนอื่นมากไป โดยมิได้มีสิ่งใดออกจากเราหยิบยื่นให้ผู้อื่น สรุปแล้วมันก็คือความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง สถานที่เกิดบางทีไม่สำคัญเท่ากับเกิดมาแล้วทำอะไรที่งดงามให้กับคนรอบข้างบ้าง
ที่สุดเราเชื่อว่าพระประทับอยู่ในจิตใจของเรา ฉะนั้นแล้วจิตใจของเราก็เป็นถ้ำๆหนึ่งที่พระจะเสด็จลงมาบังเกิด แล้วภายในจิตใจของเราเป็นถ้ำแบบไหน เป็นที่ประทับอย่างไรเล่า เราเคยออกแบบเคยสร้างถ้ำน้อยๆนี้มากี่ร้อยกี่พันครั้ง มีความเรียบง่ายหรือรกไปด้วยสิ่งประดับประดา หรือมีแต่สิ่งงดงามล้อมรอบ แต่แก่นแท้แล้วเป็นเพียงการโอ้อวด เป็นถ้ำที่มีความอบอุ่นที่พร้อมสำหรับการบังเกิดของพระตลอดเวลา หรือเป็นถ้ำที่ปิดมิดชิดสนิทแนบในความมืดมนหาหนทางเปิดประตูไม่เจอ จะเป็นสถานที่บังเกิดที่เปิดต้อนรับทุกคนในทุกสถานการณ์ หรือเป็นเพียงที่แคบๆที่มิอาจจะให้ใครเข้ามาพักอาศัยหรือล่วงล้ำเข้าไปได้ หรือใจของเราเป็นถ้ำที่มีคุณค่าสร้างรากฐานด้วยคุณธรรมความดีงาม ห่อหุ้มด้วยความวางใจในพระเสมอ หรือเป็นเพียงถ้ำสำเร็จรูป ไม่ชอบออกแรงสร้างสรรค์ กลัวเหนื่อย อะไรที่ง่ายๆสะดวกเร็วๆคือคำตอบ ไม่ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้มากเรื่อง หัวใจจึงหยาบและไร้การกลั่นกรอง หากถ้ำนั้นเป็นหัวใจเรา วันนี้เราจะเป็นถ้ำแบบไหน ลองช่วยกันออกแบบ เพราะถ้ำแห่งจิตวิญญาณนี้ไม่มีการแข่งขัน มีแต่การแบ่งปันให้กันและกัน....Merry Christmas แด่ทุกๆท่านนะครับ...

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เกิด...ทุกวัน


เกิด...ทุกวัน
วันนี้คงจะเป็นวันเกิดของหลายๆคน  ใครได้อ่านบทความนี้แล้วตรงกับวันเกิดก็ ขอให้มีความสุขทุกลมหายใจเข้าออก มนุษย์เรามีจำนวนมากมายหลายล้านล้านคน แต่วันในรอบปีมีเพียง 365 วันเท่านั้น ฉะนั้นแล้วคงไม่มีใครยึดครองวันใดวันหนึ่งไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว!!! ในวันเกิดของเราย่อมมีอีกหลายคนเกิดมาเหมือนๆกัน ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิด หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็จะเห็นว่าเพลงอวยพรวันเกิดนั้น กลายเป็นบทเพลงที่นิยมร้องกันได้ทุกวัน เป็นอมตะและเป็นสากลที่คนทุกชาติทุกภาษาต่างร้องได้ เพลงที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากคือเพลง “Happy Birthday to you” ซึ่งกินเนสบุกได้ระบุว่าเป็นเพลงภาษาอังกฤษที่มีการร้องบ่อยที่สุดในโลก แต่งทำนองโดย แพ็ตตี้ ฮิลล์ และ มิลเดร็ด ฮิลล์ ในปี พ.ศ. 2436 โดยเริ่มแรกนั้นสองพี่น้องซึ่งเป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ตั้งใจใช้สำหรับทักทายนักเรียนในชั้นโดยใส่ประโยคว่า “Good Morning to All”  (อรุณสวัสดิ์ทุกคน) 
สำหรับเพลงรูปแบบที่เรารู้จักกันนั้นได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ใน ปี พ.ศ. 2478 โดยบริษัทซัมมี (Summy Company) และมีกำหนดที่จะหมดอายุในปี พ.ศ. 2578 ในปี พ.ศ. 2533 วอร์เนอร์มิวสิกได้ซื้อบริษัทที่ครอบครองลิขสิทธิ์เพลงนี้ในราคา 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตีมูลค่าลิขสิทธิ์เพลงนี้ถึง 5 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถานะของลิขสิทธิ์นี้ในปัจจุบันไม่ชัดเจนนัก วอร์เนอร์ระบุว่าการแสดงเพลงนี้ในที่สาธารณะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (แต่เพลงนี้กลายเป็นเพลงสาธารณะประจำโลกมนุษย์ไปแล้ว ใครมาจับปรับค่าลิขสิทธิ์คงถูกไล่ออกจากโลกนี้แน่ๆ: ผู้เขียน) เนื้อร้องปัจจุบันที่ใช้คำว่า “Happy Birthday” นั้นไม่ทราบว่าผู้ที่ริเริ่มเป็นใคร : ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
ที่เขียนเล่ามานั้นต้องการอยากจะบอกว่า แท้จริงสรรพสิ่งในโลกนี้มิอาจจะให้ใครยึดครองเป็นเจ้าข้าว เจ้าของแต่เพียงผู้เดียวได้ แต่เราก็กลับดิ้นรนขวนขวายไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาครอบครอง การเกิดของเราในโลกนี้นั้นแท้จริงแล้วเพื่ออะไรเล่า ในวันเกิดเราได้รับคำอวยพรก็มิได้หมายความว่า เราจะยึดพรนั้นเพียงเพื่อตัวเราเอง เป็นหน้าที่หลักที่เราต้องต่อยอดพรนั้นให้ทวีความดีงามมากขึ้น ยิ่งนับวันผู้คนมากมาย หลากหลายความต่าง แล้วต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างยึดมั่นถือครอง ความเป็นตัวตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น วัฒนธรรมการแบ่งปัน การให้ก็ดูจะไร้แล้งลงไปในทุกวัน คุณค่าของการระลึกถึงวันเกิดนั้น ควรเป็นการรำลึกถึงความสุขที่เราจะส่งมอบให้กันและกัน
และจะมีสักกี่คนบนโลกที่เมื่อใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิด มีผู้คนเรือนล้านต่างออกมาร่วมยินดีปรีดา มีการเตรียมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เตรียมทั้งภายในและภายนอก ใช่หรือไม่ การเตรียมฉลองคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงนี้มีสิ่งที่เราต้องทำการไตร่ตรองและนำมาเป็นบทเรียน ไม่ธรรมดาแน่ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดมาบนโลก แล้วทำให้โลกได้จดจำเป็นเวลานานแสนนาน และในทุกรอบปีวันเกิด จะมีงานฉลองที่จัดขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ เหตุผลใดเล่าทำให้ชายที่ชื่อ เยซู เป็นที่ยอมรับของผู้คนมากอย่างยาวนาน แท้จริงแล้ว...ชายผู้นั้นไม่ได้เกิดเพียงเพื่อตัวเอง แต่เกิดมาสานภารกิจเพื่อผู้อื่นโดยแท้ การยอมสละ ละทิ้งอำนาจ ยอมถูกกล่าวหาสารพัด จนกระทั่งยอมตายเพื่อรักษาความสงบของสังคมโดยรวม ไม่ยอมให้เสียเลือดเสียเนื้อของผู้อื่นเพียงเพื่อตัวเองจะได้มีอำนาจ นี่ต่างหากความยิ่งใหญ่แห่งการเกิดมาของชายผู้นั้น ผู้ที่เป็น พระคริสต์ ของพวกเรา
หันมามองสังคมที่สวยเพียงเปลือกแห่งยุคสมัยปัจจุบัน ต่างแย่งชิงวิ่งวุ่น เพียงเพื่อรักษาฐานของตัวเอง โดยการเพิ่มเติมใส่ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ไม่เคยยอมที่จะสละตัวเอง เราต่างเฝ้ากล่าวโทษผู้อื่น เมื่อไม่ได้ดังหวัง เราต่างสร้างทุกข์ให้เกิดขึ้นทุกๆวันโดยการไม่นำพาว่าคนอื่นจะมีความเดือดร้อนเช่นไร เราเรียกร้องต้องให้ผู้อื่นอยู่เคียงข้าง แต่เรามักจะหลบหายไปข้างหลังในวันที่ผู้อื่นกำลังแย่ เราถามหาโอกาสจากผู้อื่นแต่เราปล่อยให้ผู้อื่นเดียวดายในอากาศในครั้งที่เขาต้องการโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง เราบอกว่าเราจริงใจต่อทุกคน แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็โกหกและตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อสร้างภาพของความจริงใจใส่กัน เราพยายามยึดครองความคิดของผู้คนด้วยวาทกรรม ด้วยเสียงอันดังทรงพลังขึงขัง แต่หลังฉากมันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างฐานฐานะให้กับตัวเอง เราเห็นคนอื่นเป็นที่ชื่นชมแต่เรากลับขมขื่นยืนไม่เป็นด้วยความอิจฉา ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นมานั้น เป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจว่า เราล้วนเกิดมาเพื่ออะไร?
ที่สุดมนุษย์เราในทุกยุคทุกสมัย ต่างก็เสาะหาคำตอบในความหมายของการมีชีวิต ในสมัยนักบุญยอห์น บัปติส ก็มีคนมาถามท่านว่า เราจะต้องทำอะไร?” ท่านนักบุญ ก็ตอบว่า ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้แก่คนที่ไม่มี คนที่มีอาหาร ก็จงทำเช่นเดียวกัน” แล้วจะมีกี่คนเล่าทำได้อย่างที่ท่านนักบุญบอกกล่าว หลายคนยังคงเสาะแสวงหาคำตอบเพียงเพื่อให้ถูกใจ ให้ตรงใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองเป็น เพียงเพื่อเหตุผลในการยึดครองต่อไป เราเองก็เช่นกัน เราก็ต่างแสวงหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นสุข แต่เมื่อได้คำตอบเราก็ไม่ทำตาม ใช่หรือไม่ ในรอบปีมีคำอวยพรวันเกิดของเรา ลองนำความสุขที่ได้รับมาแบ่งปันให้ผู้อื่นสักนิด และลองคิดดูว่า  หากคนเกิดวันนี้มอบความสุขให้ผู้อื่น เพียงคนละนิด ก็จะมีความสุขเกิดขึ้นทั่วโลก และจะเกิดขึ้นทุกๆวันด้วย บรรยากาศแห่งคริสต์มาส ก็จะดำรงอยู่ในโลก ทุกวันๆตลอดไป

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่


ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ในแต่ละวันมีผู้คนที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลกเกิดขึ้นตลอดมา มนุษย์มากมาย หลายความคิดสร้างสรรค์ ก่อให้มีสิ่งใหม่ๆปรากฏขึ้นตลอดเวลา แล้วมีวันไหนบ้างไหมที่เราได้เป็นผู้ก่อประโยชน์ให้แก่โลกที่เราอาศัยอยู่นี้บ้าง วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลียวหลังกลับไปเมื่อ 5 ปี 10 ปี 20 ปี ที่ผ่านมา เพียงแค่นี้ เราก็ได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีการสื่อสาร มีการพัฒนาอย่างยิ่งยวด รวดเร็ว จนกลายเป็นยุค สื่อสารครองโลก  มีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นมาเร็วและก็เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดูเหมือนว่าสิ่งสร้างสรรค์ยุคใหม่มีอายุการใช้งานสั้นมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็จะได้รับจากต่อยอดไปสู่สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1992 โปรแกรมเมอร์ชาวอังกฤษชื่อว่า Neil Papworth ทดลองส่งข้อความสั้นผ่านเทคนิคที่ถูกเรียกชื่อว่า Short Messaging Service จากเมือง Newbury, Berkshire โดยทดลองส่งข้อความว่า “Merry Christmas.” จากคอมพิวเตอร์พีซีไปยังโทรศัพท์มือถือของ Richard Jarvis พนักงานบริษัท Vodafone นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของบริการ SMS ซึ่ง Vodafone นำไปต่อยอดและขยายบริการจนเป็นช่องทางการสื่อสารที่ง่ายและสนุกสนานในวงกว้าง โดยนับจากปี 1992 เท่ากับขณะนี้ บริการ SMS ที่ถูกใจหลายคนนั้นมีอายุสิริรวม 20 ปีพอดี
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม SMS ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถแพร่หลายในตลาดโลก จนกระทั่งช่วงที่ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มลดลง ผู้ใช้จึงเริ่มเห็นว่าการส่งข้อความ SMS เป็นช่องทางการสื่อสารที่สะดวกสบายและประหยัดกว่าการโทรศัพท์
และวันนี้วงการ SMS กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะการตีตลาดของแอปพลิเคชันรับส่งข้อความแชตบนสมาร์ทโฟนที่กำลังมีอิทธิพลเหนือ SMS อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอิทธิพลของเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ไลน์ (Line) ซึ่งเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถรับส่งข้อความได้แบบทันใจ ในเวลาเดียวทั่วทุกที่ทั้งโลก
เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าเราเองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงของวิวัฒนาการนี้เหมือนกัน และในเวลานั้นเราทำอะไรอยู่!!!! แน่หล่ะ...เราอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่คนนับล้าน แต่เราก็คงได้ทำอะไรดีๆอยู่ก็ได้(มั๊ง) ซึ่งก็ดีกว่าการนั่งพร่ำบ่น ต่อว่าวันเวลา ต่อขานผู้คน และเหยียดหยามสภาพแวดล้อม และจมอยู่กับความหวาดกลัวของการมีชีวิต และกลัวการสิ้นสุด
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เมื่อพูดถึง กลัวการสิ้นสุด ก็ทำให้นึกถึงคำนายที่มีต่อโลกด้วยการแอบอิงตำนานปฏิทินชนเผ่ามายาที่จบลงในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ก็อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้แล้วสิ... มีการกล่าวขานถึงว่าวันนั้นจะเป็นวันสิ้นโลก วันโลกแตก มีกลุ่มคนที่ตั้งเป็นนิกายที่เชื่อเรื่องเหล่านี้ มีบ้างบางกลุ่มหวาดกลัวจนเชื่อมโยงเรื่องของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ประเภทที่เรียกว่าหลุดโลก ก่อให้กลายเป็นความกลัวมวลรวมของมนุษย์โลกไปแล้ว แม้กระทั่งในประเทศที่เราคิดว่าเจริญด้วยเทคโนโลยี ก็ยังจมปลักกับความกลัวในเรื่องนี้
เจ้าหน้าที่สั่งปิดยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาพิเรนีสของฝรั่งเศส ซึ่งพวกคลั่งลัทธิวันสิ้นโลกเชื่อว่าจะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่จะเหลืออยู่หลังโลกถึงกาลอวสานตามคำทำนายในวันที่ 21 ธันวาคม เหตุมีความหวั่นกลัวเกิดความโกลาหล รวมถึงปราบปรามนักธุรกิจหัวใสที่หวังหากินกับเรื่องนี้
ประชาชนที่เชื่อในลัทธิวันสิ้นโลกและพวกเฝ้าระวังยูเอฟโอ จะถูกห้ามขึ้นไปบนภูเขายอดราบ บูการาช ในเมืองโอเดอ ผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าโลกนี้จะถึงจุดจบตามคำทำนายของปฏิทินชนเผ่ามายา พวกเขาเชื่อกันว่ายอดเขาบูการาช คือแหล่งจอดยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกนี้จะเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโลกอย่างเงียบๆในถ้ำขนาดใหญ่ใต้ภูเขาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังว่าเมื่อตอนที่เอเลียนจะออกเดินทาง พวกมันจะพามนุษย์ผู้โชคดีบางส่วนเดินทางไปด้วย (Manager Online)
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ความกลัวย่อมมีอยู่ในจิตใจของเราทุกคน แล้วทำไมเราไม่ต่อยอดความกลัวด้วยการเตรียมตัวต้อนรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นด้วยใจสงบ เพราะแม้ว่าเมื่อมีวันเวลาแห่งการสูญสลายของโลกเกิดขึ้นจริงๆ เราก็ภาคภูมิใจที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เวลาย่อมมีค่าในวิถีชีวิตของแต่ละคน คุณค่าของเรามิได้อยู่ที่ว่าเราจะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดหรือไม่ (เพราะคงจะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่) แต่อยู่ที่เราได้ทำวันเวลาที่ผ่านไปผ่านมาอย่างไร สร้างสิ่งดีก่อความงดงามมากน้อยแค่ไหน และหากว่าวันนั้นไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เป็นอีกวันหนึ่งในเวลาของจักรวาลที่ผ่านไป อีก 5 ปี 10 ปี 20 ปี แล้วเราย้อนกลับมามอง ว่าในวันนั้นเราได้กระทำความดีงามอะไรไว้บ้าง ลองจดใส่สมุดบันทึกเอาไว้เป็นประวัติแห่งความดีงามของเรา เพื่อจะเป็นคำตอบในบททบทวนชีวิตในวันที่ยังมีลมหายใจในภายภาคหน้า
ที่สุดแล้ววันนี้ เวลานี้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรเล่า หนทางดำเนินชีวิตนี้มีเพียงเพื่อจะได้สิ่งตอบแทนมากขึ้น ได้เงินโบนัส ได้ตำแหน่งสูงขึ้นเพื่ออวดเบ่ง อวดอ้าง เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในเชิงสัญลักษณ์ให้ตัวเองเพียงแค่นี้หรือ ในวันเวลาที่ผ่านมา เราอาจจะเห็นคนอื่นเขาทำสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย เราก็ควรกลับมาตั้งคำถามว่า เราในวันเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรเพื่อผู้อื่นบ้างหรือยัง สัญญาณของการสิ้นสุดปีมีเพื่อให้เราทบทวนชีวิตเรา มากกว่าการที่จะไปตั้งความหวังเพื่อก่อให้เกิดความกลัวและความไม่มั่นคงในชีวิตยิ่งขึ้น อดีตและวันเวลาที่ผ่านมา นำมาเป็นบทเรียนสร้างพลังให้กล้าแกร่งและพร้อมจะเดินทางไปกับวันเวลาอย่างมีคุณค่า และเราก็จะมีคุณค่าให้กับโลกใบนี้แบบไม่รู้ตัว เราต้องทำลมหายใจ ณ เวลานี้ให้ดีที่สุด...

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ใจกว้างใจแคบไม่เกี่ยวกับพื้นที่ถือครอง


ใจกว้างใจแคบไม่เกี่ยวกับพื้นที่ถือครอง
เรื่องวุ่นๆของสังคมเกิดขึ้นไปทั่วโลก การประท้วง การยิงจรวดใส่กัน การเมืองระหว่างประเทศในนามของสนธิสัญญาและผลประโยชน์ต่างตอบแทน...ฯลฯ นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่พยายามใช้สมองคิด เพื่อวางแผนเข้าครอบครอง ข่มขู่และห้ำหั่นกัน โดยปราศจากหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ เห็นแล้วก็เสียดายความงดงามที่มีอยู่ในโลก ที่มีแต่คนมองข้ามไป ความใจร้ายของคน ความเหี้ยมโหดของคนเรา มันยังฝังแฝงอยู่ในตัวมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย ที่ต่างต้องการชัยชนะโดยไม่สนวิธีการ ฉลาดล้ำในการชักนำผู้อื่นให้คล้อยตามและทำในสิ่งที่ตัวเองบัญชา
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ยุคหนึ่งเราก็แอบอ้างว่าที่ต้องรบราฆ่าผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มของหมู่ตน ยุคหนึ่งนั้นนำศาสนามาเพื่อสร้างอาณาจักร ยุคหนึ่งนั้นไล่ล่าหาแผ่นดินยึดครอง ยุคหนึ่งนั้นสร้างอาวุธร้ายแรงเข่นฆ่าคน อีกยุคหนึ่งให้ได้มาซึ่งทรัพยากรและแหล่งพลังงาน และอำนาจทางเศรษฐกิจ ในแต่ละยุคก็มีผู้กุมอำนาจโดยอาศัยความเก่ง ความฉลาด ความศรัทธา จวบจนถึงยุคที่ใช้เงินซื้ออำนาจ...
 คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้นำในยุคสมัยนี้สิ่งหนึ่งที่เรามักคิดถึงก่อนสิ่งอื่นคือ คนๆนั้นต้องมีฐานะทางการเงินการทองมากพอสมควร เราไม่ค่อยได้นำความดีงามที่คนๆนั้นได้ประพฤติปฏิบัติมาเพื่อเสริมส่งความเป็นผู้นำกันเสียเท่าไร โลกวันนี้จมปลักอยู่กับระบบทุน ระบบนี้จึงสร้างค่านิยมของเราให้ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตรา เพื่อก้าวไปสู่การมีอำนาจ ยิ่งนับวันคนในโลกยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น และแต่ละคนก็เพิ่มความอยากได้เข้าไปอีก โลกจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ได้ความเห็นแก่ตัว คนที่ไม่มีจึงไม่มีค่าในทุกเรื่อง โอกาสของคนที่ยากไร้จึงน้อย คนจึงไม่อยากยากไร้ โลกนี้มีทรัพยากรพอสำหรับทุกคน แต่จะไม่เพียงพอกับคนโลภเพียงคนเดียว เป็นเรื่องจริงที่ท่านมหาตมะ คานธี เคยบอกกล่าวไว้ และคิดดูวันนี้เรามีคนที่ไม่รู้จักพอกี่ล้านคนบนดาวเคราะห์ดวงนี้ 
ในโลกนี้ความดีควรจะเป็นสิ่งที่เราเทิดทูนอยู่เหนือหัวมิใช่หรือ!!! เราหาความสบายที่เกินความสบายและเราก็บอกว่าเรายังไม่สบายพอ เราเสาะหาสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งแบบไม่มีที่สิ้นสุด การแสวงหาความดีงามจึงถูกบดบังไปอย่างน่าเสียดาย แต่โลกกว้างใบนี้ แม้จะมีคนใจแคบมากมาย ก็หาใช่ว่าจะไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งยึดโยงโลกนี้ไว้ ความดียังคงมีอยู่ ความดีที่ไม่ขึ้นกับพื้นที่ยึดครอง คนที่เลือกคุณธรรมความดีงามก็ยังมีอยู่และจะยังมีอยู่ตลอดไป..
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. บีบีซีเปิดเผยเรื่องราว นาย โฮเซ่ มูจิกา ผู้นำอุรุกวัย วัย 77 ปี ที่ได้ชื่อว่าประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก ว่าอาศัยอยู่ในกระท่อม และขับรถเก่าคันเล็กๆ ใช้ชีวิตแตกต่างราวฟ้ากับดินกับผู้นำประเทศต่างๆ
นายมูจิกาปฏิเสธบ้านพักหรูหราที่ทางการจัดให้ โดยอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ของภรรยา ตั้งอยู่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ เมืองหลวง เส้นทางเข้าเป็นถนนลูกรัง โดยสองสามีภรรยาลงมือทำสวนเอง ใช้น้ำจากบ่อ และมีตำรวจ 2 นาย กับสุนัขพิการมี 3 ขา เป็นองครักษ์ นายมูจิกาได้เงินเดือนราว 360,000 บาท แต่นำเงินที่ได้ร้อยละ 90 ไปบริจาคช่วยคนยากจน ทำให้ท่านผู้นำเหลือเงินเดือนราว 23,250 บาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนเฉลี่ยของชาวอุรุกวัย นายมูจิกากล่าวว่า อยู่อย่างนี้มาเกือบทั้งชีวิต อยู่ได้สบายมาก แม้จะถูกเรียกว่าเป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุด แต่ไม่รู้สึกว่าจนตรงไหน คนจน คือ พวกที่ทำงานเพื่อรักษาชีวิตแสนแพงเอาไว้และอยากได้นั่นนี่ตลอดเวลามากกว่า
นี่ต่างหาก คือ อิสรภาพ ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานทั้งชีวิตเพื่อเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีเวลามากพอสำหรับตัวเองและผู้อื่นผู้นำอุรุกวัยกล่าว
บัญชีทรัพย์สินปี 2553 ของนายมูจิกา เป็นเจ้าของรถยนต์เพียง 2 คัน โดยคันหนึ่งเป็นรถโฟล์กรุ่นบีเทิล ปี 1987 และบ้านไร่หลังดังกล่าว ส่วนปีนี้นายมูจิการวมเอาสินทรัพย์ของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถไถ และบ้านเข้าไปด้วย ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 6 ล้านกว่าบาท แต่ยังน้อยกว่ารองประธานาธิบดีดานิโล แอสโตรี ถึง 2 ใน 3 http://variety.teenee.com
อุรุกวัยเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของทวีปอเมริกาใต้ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุด ประเทศเล็กๆในโลกที่กว้างใหญ่ที่คนทั่วไปเปรียบเทียบว่าเป็นเมืองแคระน้อย แต่กลับเห็นค่าของความดีงาม ความหมั่นเพียรและความรู้จักพอ ประเทศที่ไม่ได้หลงไปกับการให้คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจมีอำนาจ ประเทศเล็กๆแห่งนี้กำลังจะพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่า การปกครองด้วยความดีไม่เบียดเบียนกันนั้นสามารถทำได้ สามารถอยู่บนโลกได้ เราไม่รู้ว่าประเทศอุรุกวัยจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า แต่เรารู้ว่าความดียังมีพื้นที่อยู่ในโลกแห่งทุนนิยม
ส่วนตัวของเรายังมีพื้นที่เล็กๆให้ความดีเป็นข้อพิสูจน์ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าบ้างหรือเปล่า อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นว่าเราต้องมานั่งวัดว่า สิ่งที่เราทำนั้นดีน้อยหรือดีมาก หรือดีน้อยกว่าหรือมากกว่าเมื่อเทียบกับความดีที่คนอื่นทำ ความดีไม่ได้มีไว้อวดใคร เราไม่ได้ทำสิ่งดีๆ ด้วยเหตุผลเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเราดี แต่เราทำดีเพราะอยากเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีต่างหาก คือหนทางแห่งความสุข
เราไม่สามารถปฏิเสธระบบทุนนิยม และโลกแห่งเงินตราได้ แต่เราก็สามารถอยู่ได้อย่างมีคุณค่า อย่างสร้างสรรค์ ใช้คุณธรรมนำทุนนิยม ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวของตนสามารถรับใช้ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ คือการแบ่งปัน ที่กำลังห่างหายไปจากสังคม แล้ววันนี้บนพื้นที่ถือครองของเรานั้นเราได้ใช้มันแบบไหน ....

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความดีทำง่าย เพียงพลิกฝ่ามือ


ความดีทำง่าย เพียงพลิกฝ่ามือ
วันเวลาเดินทางผ่านไปราวกับว่าเรากำลังเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง ทั้งๆที่บางห้วงเวลาอยากให้วันเวลาเดินทางเหมือนรถไฟไทยจริงๆ ไปอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ซึ่งก็คงเหมือนวันเวลาของเด็กๆที่ยังไม่ต้องกังวลสาละวนกับเรื่องราวต่างๆในชีวิตมากมาย มีความสุขกับการวิ่งเล่น และไม่ต้องเครียดกับเรื่องที่ต้องตะเกียกตะกายหาความสบายให้ตนเองและครอบครัว ยิ่งโตเวลายิ่งเร็วขึ้น ใช่หรือไม่ เมื่อเรามีเรื่องกังวลรุ่มร้อนใจมากเท่าใด เวลามักจะมีไม่พอ ทำอะไรไม่ทันทุกที ยิ่งรีบยิ่งช้า ยิ่งเร่งยิ่งรน เวลามันผ่านไปเร็วหรือเป็นเพราะเรามีความกังวลต่อวันพรุ่งนี้และอนาคตมากเกินไป หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพราะเราเกิดความกลัวมากกว่า กลัวจะไม่มีเหมือนคนอื่น กลัวจะน้อยหน้าเพื่อนๆ กลัวเสียหน้า กลัวถูกหยามเหยียด กลัวความตายจะมาพรากเราไปจากสิ่งสะสมที่ยังไม่รู้จักเพียงพอ แม้กระทั่ง กลัวว่าความดียังมีไม่พอ กลัวว่าวันเวลาจะฉุดรั้ง แย่งชิงความสะดวกสบายจากเราไป

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

แน่หล่ะ ใครบ้างจะไม่มีความกังวล  คนเดินดินกินข้าวสองสามมื้อ มีมือถือสองสามเครื่อง เรื่องกลัวไม่ทันสมัย คือ สิ่งเสพติดของชนคนยุคใหม่ ยุคที่สื่อสารครองโลก แล้วเราก็นิยามสิ่งที่เราดิ้นรน เสาะหามีเอาไว้ครอบครองว่า ความสำเร็จ พอไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ก็ถือว่าเป็น ความล้มเหลว ทั้งๆที่แก่นแท้ของชีวิตนั้น ความสำเร็จ คือ การพ้นผ่านความทุกข์ยากลำบาก ต้องผ่านความอดทนและการลุกขึ้นสู้ใหม่ สร้างความแกร่งทางจิตวิญญาณขึ้นเรื่อยๆไม่มีวันจบ ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ มันอยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะ สู้ต่อหรือ ยอมแพ้ต่างจากความสำเร็จ(รูป)จอมปลอมที่เรากำลังหลงใหล ที่มีองค์ประกอบเพียงแค่ มีตำแหน่งมีเงินเดือนสูง มีรถหรูขับ (แถมได้ภาษีคืนอีกต่างหาก) มีบ้านใหญ่โต มีทีวีจอยักษ์ มีมากมายจนลืมใช้และใช้อย่างไม่คุ้มค่า ซื้อมาเป็นหมื่นเป็นแสนใช้เพียงร้อยสองร้อย แต่สำหรับคนที่พยายามด้วยสองมือหนึ่งสมองและคุณธรรมประจำตนนั้น เพื่อให้ได้มาครอบครองเครื่องอำนวยความสะดวกมักจะใช้อย่างเห็นคุณค่า ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ และรู้ว่าค่าของเวลานั้นอยู่ที่ การรู้จักใช้ มากกว่า
และคนที่ผ่านความสำเร็จที่แท้จริงมาได้นั้น สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การรู้จักประคับประคองให้เดินทางอยู่บนหนทางความดีงาม เพราะระหว่างทางความดีนั้นความชั่ว ย่อมมีมาให้พบเจอได้เสมอๆ เพียงพลาดผิดจากความดีเพียงนิดเดียวก็กลายเป็นชั่วช้าได้ในสายตาของคนอื่น และยิ่งในสังคมที่มีผู้คนหลากหลายเต็มไปด้วยมลพิษทางปากและไวรัสที่ชื่อว่า นินทา ด้วยแล้ว เพียงครั้งเดียวที่พลาดผิดกลับไปปิดร้อยความดีที่ได้ทำมา เพราะโดยลึกๆของคนทั่วไปแล้ว ความผิดพลาดของคนอื่นก็ คือ สิ่งที่เราอยากเห็นนั่นเอง แล้วคอยกระหน่ำซ้ำเติม ความดีความเลวมันมีเส้นต่างกันไม่มาก เพียงพลิกนิดเดียวก็กลับด้านได้แล้ว ใช่...หลายคนบอกว่าการทำดีนั้นยาก เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ความดีอาจมิใช่อยู่ที่ผลเสมอไป แต่อยู่ที่ตรงความพยายามกระทำดีอย่างที่สุดนั่นสำคัญกว่า



สิ่งไหนที่กระทำแล้วสบายใจ พบความสงบสุขทางจิต นั่นแหละ ความดีงาม แต่สิ่งไหนกระทำแล้วต้องระมัดระวัง ต้องหลบๆซ่อนๆ มีความกังวล เกิดทุกข์ใจ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย สิ่งนั้น ก็คือ ความไม่ดี จิตใจของเราเป็นตัววัดค่าสิ่งเหล่านี้ได้ หากรู้จักฟังใจเราให้เป็นบ้าง ดังเช่นนิทานเซนเรื่องนี้
ยังมีนายพลผู้หนึ่ง ขณะที่สนทนาธรรมกับอาจารย์เซนไป๋อิ่น ก็เอ่ยถามขึ้นว่า สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่?...”
อาจารย์เซนมิได้ตอบอันใด แต่กลับถามนายพลผู้นั้นกลับไปว่า ท่านเป็นใคร?”
นายพลตอบว่า เราคือแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร
มิคาด อาจารย์เซนกลับหัวเราะออกมา พลางกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า เป็นคนโง่คนใดที่ยกย่องให้ท่านเป็นแม่ทัพนายกองกันหนอ เพราะท่านดูอย่างไรก็คล้ายพวกคนฆ่าสัตว์มากกว่า
ได้ยินดังนั้น แม่ทัพใหญ่บันดาลโทสะ ต้องการสังหารอาจารย์เซน จึงยกดาบขึ้นพลางกล่าวว่า งั้น.. ท่านจงเบิ่งตาดูเราฆ่าท่านเถิด!
ขณะที่จะลงดาบ อาจารย์เซนจึงกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า นี่ยังไงล่ะ ตอนนี้ประตูนรกที่ท่านถามถึงกำลังเปิดออกแล้ว
แม่ทัพได้ยินดังนั้นจึงฉุกคิดได้ พร้อมทั้งลดดาบในมือลง จากนั้นเมื่อใจเย็นขึ้นแม่ทัพจึงเอ่ยกับอาจารย์เซนด้วยความสำนึกผิดว่า ต้องขออภัยที่ล่วงเกิน ท่านอาจารย์
โปรดให้อภัยข้าด้วย
ยามนั้น อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า หากกล่าวเช่นนี้ ประตูสวรรค์ ย่อมกำลังเปิดออกแล้วเช่นกัน”….
และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีกี่วัน ความดีงามจะต้องมีอยู่คู่ไปในชีวิต ผิดบ้างพลาดบ้าง อย่าไปกังวล กลับใจพลิกตัว ตั้งต้นใหม่ อย่าไปกังวลต่อเสียงผู้คนที่พูดถึงเรามากนัก ถ้าใจเราบอกว่าสิ่งไหนดี สิ่งนั้นย่อมงดงาม และมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างก็ลงมือทำเลย บางสิ่งบางอย่างในชีวิตต้องการการแก้ไข เพียงแค่พลิกฝ่ามือผลที่ดีก็จะตามมา เพียงแต่ว่าเรากล้าที่จะพลิกมือของเราหรือเปล่า หรือจะรอให้มีรถไฟขบวนสุดท้ายมาถึงจึงจะตัดสินใจ ระวังจะตกรถขบวนแห่งความดีงามนี้นะครับ.... 

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

งดงามในยามมืดมน


งดงามในยามมืดมน
ในช่วงใกล้ๆปลายปี ที่กำลังย่างก้าวสู่ฤดูหนาวอย่างนี้ มีทั้งฝน แสงแดดและความอึมครึมปกคลุมไปทั่วทั้งบรรยากาศ ท้องฟ้าในยามเช้าดูจะอ้อยอิ่งเสียเหลือเกิน กว่าฟ้าจะเปิด กว่าฟ้าจะสว่างก็ปาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงแปดโมงเช้า ในบางวันความมืดมนก็ขยันเกินควร ห้าโมงก็เริ่มมียิ้มเยาะหัวเราะใส่ ความมืดจึงมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ต่างกับชีวิตของคนเรากระมัง!!! ที่ทุกวันนี้เห็นมีแต่เสียงพร่ำบ่นถึงควาหม่นหมอง ถึงความทุกข์ยากที่เป็นรากแก้วของความมืดมน มันก็น่าแปลกที่คนเรายามมีความสุข เรามักไม่ค่อยจะแบ่งปันความสุข บอกเล่าความสุขให้คนอื่นฟัง ทำเป็นหวงแหนกลัวคนอื่นจะมาแย่งชิง เอาไปครอบครอง กอดรัดความสุขไว้เพียงลำพัง ทำไปทำมาก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา โลกนี้จึงมืดมนเพราะคนไม่ค่อยได้แบ่งสุขให้กันและกัน ความมืดมนปนความทุกข์ยากนำมาซึ่งความเศร้าหมอง แต่หากว่าเราเรียนรู้ที่จะมองให้เห็นแง่งามในนามความทุกข์ เราก็จะอยู่กับความมืดมนได้อย่างงดงาม
ท้องฟ้า...ใช่ว่าจะมืดมนตลอดกาลฉันใดใยชีวิตคนเราจะอับโชคไร้โศกได้เล่า มีแต่เพียงเราเท่านั้นที่จะก่อหน่อความงามให้เกิดขึ้นในกองทุกข์นั้น ในความทุกข์ในความมืดมนมักมาพร้อมกับการท้อแท้ ความท้อแท้ไม่เคยแก้ปัญหาของชีวิต ทุกครั้งที่ความท้อแท้มาเยือน ความเข้มแข็งจะห่างหายจากเราไป คนเราแต่ละคนมักพบเจอความมืดมน ท้อแท้ไม่เหมือนกัน โลกนี้จึงยังไม่เคยมีใครมีความสุขครบบริบูรณ์ หรือคนที่มีแต่ความทุกข์โศกาตลอดเวลา คงมีบ้างบางคนยิ้มแย้มกลางความสิ้นหวัง หรือบางคนฝืนยิ้มกลางกองสมบัติมากล้น คนก็เป็นเช่นนี้ บางคนสารพัดปัญหาร้อยแปดพันประการ ผิดหวังจากสิ่งที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นแล้วการจัดการกับความท้อแท้นั้นสำคัญมาก
ความท้อแท้จัดอยู่ในหมวดของอุปสรรคในชีวิตก็ว่าได้  ความท้อแท้ก็คือความเจ็บปวดลึกๆของชีวิต บางครั้งก็ยากที่คนอื่นจะรับรู้ได้จึงดูเหมือนว่าเผชิญอยู่ในความมืดมน ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเราก็คิดว่าสิ่งต่างๆของชีวิต ซึ่งมืดมนสับสน โดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนโลกทั้งใบมีเราเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยมิได้เหลียวแลดูผู้คนรอบข้าง ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ และอย่าท้อนาน ความท้อแท้ไม่มีวันแก้ปัญหาของชีวิตได้เลย รังแต่จะทำให้ชีวิตเราแย่ลง ไม่มีใครโชคดีตลอดเวลา และไม่มีใครโชคร้ายเสมอไป และคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ว่า เราต้องโชคดีเสมอไป เราเหนือกว่าใคร ดีกว่าใคร
หลิวเหว่ย เป็นเด็กหนุ่มชาวจีนอายุ 23 ปี เขาเสียแขนทั้งสองข้างไปจากอุบัติเหตุในวัยเด็ก เมื่อตอนที่เขาอายุ 10 ขวบ เขาไปจับเอาสายไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งเข้าสู่แขนทั้งสองข้าง ขณะเล่นซ่อนหาอยู่กับเพื่อนๆ
หลิวเหว่ย กลายเป็นคนพิการภายหลังอุบัติเหตุครั้งนั้นทันที ชีวิตเขาจมสู่ความมืดมน จากคนปกติกลายเป็นคนไร้สภาพ มีแต่แม่ของเขาที่พยายามพร่ำสอนให้เขาช่วยเหลือตัวเอง เพื่อว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้เมื่อต้องอยู่เพียงคนเดียว หลิวเรียนรู้ ที่จะทำทุกอย่างด้วยตนเอง โดยอาศัยปากและ เท้าของตน
อุบัติเหตุทำให้เขาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้หยุดความฝันของหลิวที่จะเป็นนักเปียโน ในสายตาของคนทั่วไปแม้จะมีแขนมีนิ้วมือครบถ้วน เปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากยิ่ง   ต้องอาศัยความพยายามและความอดทนในการฝึกฝน เขาพยายามหาครูสอนให้เขาเล่นด้วยนิ้วเท้าให้ได้ ครูเปียโนคนแรกของเขา ล้มเลิกการสอน และบอกเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเล่นเปียโนด้วยนิ้วเท้า
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลิวไม่ท้อแท้ที่จะเรียนเปียโนพร้อมกับฝึกฝนการใช้ปากและเท้าทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เหมือนคนทั่วไป เขาฝึกเปียโนด้วยเท้าทุกวันด้วยตัวเองจวบจนเมื่อเขามีอายุได้ 19 ปี เขาก็สามารถเล่นเปียโนด้วยตนเองอย่างจริงจัง เพื่อจะบรรลุเป้าหมายการเป็นนักดนตรีตามความฝันที่มีอยู่
 “สำหรับคนเช่นผม มีทางเลือกอยู่แค่สองทางเท่านั้น ทางแรก คือ ยอมล้มเลิกความใฝ่ฝันทั้งหมด ซึ่งย่อมนำไปสู่ความตายอย่างคนที่สิ้นหวัง อีกทางหนึ่ง ก็คือ การดิ้นรนแม้ไม่มีแขนเพื่อที่จะมีชีวิตที่มีคุณค่าได้ ผมจึงขอเลือกทางที่สอง เพราะผมว่าชีวิตผมแม้ไร้แขนแต่หาไร้ค่าไม่” 
“..แม่ผมสอนผมว่า ผมไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น เพียงแค่คนอื่นใช้มือ แต่ผมใช้เท้าเท่านั้นเอง..
พระเจ้านั้นยุติธรรมกับเราเสมอ ให้เวลาได้พบสุขเจอทุกข์เพื่อสร้างพลังให้เข้มแข็ง พระองค์ทรงส่งเรามาเพื่อให้เราได้ฝึกวิทยายุทธ์ไว้ต่อกรกับความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ ในทุกช่วงเวลามักมีความงดงามเสมอ ความงดงามที่อยู่ในใจเรา นำออกมาเป็นเกราะคุ้มภัย ทุกข์ นำออกมาเพื่อสร้างพลังใจให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง แม้ความมืดมนจะปนอยู่ในทุกย่างก้าว  แต่เราต้องไม่จมหายไปกับมัน เมื่อมีฟ้ามืดใยเลยจะไม่มีวันฟ้าใส ในวันฟ้ามืดเพียงเราหลับตาและลืมตาอย่างช้าๆอีกครั้งเราก็จะมองเห็นทุกสรรพสิ่งในท่ามกลางความมืดมนนั้น หากว่าลืมตารับแสงตะวันในยามเช้าตรู่ พยายามมองดูหลายชีวิต ต่างก็ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแข่งขันกัน เราก็อย่าได้เป็นเช่นนั้นขจัดความต้องการ ความปรารถนาที่มากล้น ที่เป็นตัวนำความทุกข์ยากมาสู่ชีวิตวันละนิดวันละหน่อย ปล่อยให้มันหลุดลอยหายไป รักษาจิตรักษาใจ เตรียมพร้อมน้อมรับความเป็นไปของชีวิตให้ได้ในทุกสถานการณ์ พยายามเข้าใจและยิ้มรับกับวันใหม่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับความมืดมนอย่างดีที่สุด

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงบุญ


แรงบุญ
วันจันทร์และวันอังคารถือว่าเป็นวัน แรงเงา แห่งชาติ เป็นข้อความสั้นๆที่เพื่อนผู้มีความคิดบรรเจิดได้ตั้งไว้ในสถานะทางเฟซบุ๊ค และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะทุกเย็นยันค่ำของวันจันทร์และวันอังคาร ผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรีบเร่ง เฝ้ารอหน้าจอเพื่อจะดูละคร แรงเงา ซึ่งเป็นละครที่ดูเหมือนจะถูกจริตกับสังคมยุคใหม่ที่นางเอกไม่ได้ตกเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ลุกขึ้นมาตอบโต้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน สร้างความสาสะใจให้แก่ผู้ชมจนติดกันหนึบหนับ เนื้อเรื่องก็หนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสเบื้องต้นของคนทุกคน ใช่หรือไม่ แม้จะมีการแก้แค้นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ตัวละครแต่ละตัวก็ไม่เห็นมีความสุขได้เลย หลายฉากมักจะทำให้เห็นว่ากลางคืนก็นอนไม่หลับ ฝันร้าย คาดคิดไว้ว่าละครตอนจบ จะจบลงด้วยการสำนึกผิดและการให้อภัยกัน แล้วความสุขก็จะบังเกิดขึ้นในตอนจบเพียงตอนเดียวก็คือสิ่งปรารถนาที่เราๆอยากได้เห็น...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ดูละครแล้วย้อนดูตัวตน การแก้แค้น การจงเกลียดจงชังกัน ไม่อาจจะนำความสุขมาสู่วิถีชีวิต เป็น แรงเงา ที่ไล่ล่าติดตัวไปไม่สิ้นสุด มันต่างกับการที่เราทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ด้วยแรงบุญ ใช่แหละสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากมากในการปฏิบัติท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มได้ด้วยความเห็นแก่ตัว แต่โลกนี้ยังมีคนใจบุญที่ทำสิ่งงดงามแบบเงียบๆเรียบๆอีกมากมาย ที่ไม่ได้เป็นจุดขายเพื่อขยายในสื่อธุรกิจ
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ณ เมืองที่วุ่นวายแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนทั้งเมืองหน้าตาไม่มีความสุขเอาเสียเลย ต่างคนต่างอยู่ดูแล้วหมองหม่น หญิงสาวคนหนึ่งเฝ้ามองดูบรรยากาศในเมืองที่อาศัยแห่งนี้มานานนับปี เธอพยายามส่งยิ้มให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา แต่เธอก็ได้เห็นแต่รอยหยักบนใบหน้าที่อาการงงๆ ว่าเธอบ้าไปหรือเปล่า ยิ้มอยู่ได้ คนยิ้มที่เมืองนี้กลายเป็นคนแปลกแยกไปซะแล้ว วันหนึ่งเธอก็เกิดความคิดแนวใหม่ขึ้น เมื่อเธอได้อ่านพบทฤษฎี การส่งต่อความดี ในหนังสือเล่มหนึ่ง เธอจึงลองทำดู ด้วยการเข้าไปดื่มกาแฟในร้าน เสร็จแล้วเธอก็จ่ายค่ากาแฟ แต่เธอจ่ายเพิ่มไปอีกหนึ่งแก้ว แล้วบอกกับพนักงานในร้านไว้ว่า นี่เป็นค่ากาแฟจ่ายให้คนที่มาสั่งกาแฟต่อจากฉันไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หลังจากนั้นคนที่เข้ามาดื่มต่อจากเธอก็แปลกใจและก็ได้ทำอย่างเธอบ้าง วันนั้นทั้งเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่เดินออกจากร้านกาแฟนั้น มีใบหน้าที่สดใสและมีรอยยิ้ม ดูมีความสุขมากขึ้น ทุกคนไม่รู้ว่ากาแฟที่ได้ดื่มจากเงินของคนที่ไม่รู้จักนั้นได้นำความอร่อยล้ำที่มากกว่ารสชาติกาแฟเสียอีก และมีหรือที่คนเราเมื่อได้รับแล้วจะไม่คิดให้ต่อบ้าง การจ่ายค่ากาแฟเผื่อคนอื่นกระจายเป็นวงกว้าง เรียกว่าแทบจะได้ดื่มกาแฟฟรีกันทั้งเมือง ทุกคนจึงหันมาพูดคุย ถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกัน ความเป็นพี่น้องร่วมเมืองกลับมา ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นจากเงินค่ากาแฟเพียงไม่กี่บาท...
หนังสือเล่มที่ผู้หญิงคนนั้นได้อ่านเขียนโดย Catherine Ryan Hyde เป็นนักเขียนที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้จักถึงกระบวนการส่งต่อความดี ผ่านตัวหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาและได้มีการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ขึ้น ชื่อเรื่องว่า Pay It Forward. พร้อมกับการสร้างกระแสให้กับคนทั่วโลก เริ่มรู้จักการส่งต่อความดีแบบมหาศาล โดยที่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงแค่เริ่มจากคนตัวเล็กๆ จากเด็กน้อยคนหนึ่งที่ต้องการคิดทฤษฎีเปลี่ยนแปลงโลก โดยทฤษฎีที่ว่านี้ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ด้วยการช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่างน้อยสามคน และก็ปล่อยให้สามคนนี้ทำความดีไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ บริจาค หรือเป็นจิตอาสาให้กระจายไปอีกสามคนถัดไป จนขยายเป็นวงกว้างเหมือนหยดน้ำหยดเดียวที่สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หรืออย่างเช่น เฉินซู่จวี้ แม่ค้าขายผักชาวใต้หวัน เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่พิสูจน์ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า คนที่มีฐานะที่อาจเรียกได้ว่ายากจน ก็สามารถเป็นผู้ให้เหมือนเศรษฐีคนอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้มีฐานะขึ้นมาก่อน ชีวิตของเธอทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นทำงานจนไม่มีลายนิ้วมือและกินข้าววันละมื้อเท่านั้น ใช้เงินวันละเล็กน้อย แต่บริจาคเงินช่วยเหลือผู้อื่นไปแล้วร่วมสิบล้าน ในฐานะแม่ค้าขายผัก จนกระทั่งนิตยสารไทม์ยกย่องให้เธอเป็นร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2010 และเป็นบุคคลยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 ของเอเชีย
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
แม้แต่ในวัดของเราก็ได้มีการกระทำการส่งต่อความดีด้วยเหมือนกัน เมื่อประมาณสัก 2- 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา คุณพ่อสุพจน์ เจ้าอาวาสของเรา ได้จัดนำหนังสือสวดภาวนาในครอบครัวคริสตชนมาเพื่อให้พี่น้องได้นำไปสวดร่วมกัน  ด้วยการจำหน่ายในราคาที่ถูก อยู่ๆก็มีสัตบุรุษคนหนึ่งจ่ายเงินค่าหนังสือบทภาวนานี้ทั้งหมด แล้วให้นำมาแจกฟรีในอาทิตย์นั้น โดยไม่ปรารถนาจะออกชื่อเสียงเรียงนาม คนที่ได้หนังสือไปก็คงสวดภาวนาร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข ผลบุญจากการสวดภาวนาด้วยหนังสือเล่มนี้ ได้สร้างสันติสุขเกิดขึ้นในทันที
การทำบุญนั้นไม่ว่าจะทำมากทำน้อยผลของบุญ ย่อมนำความสุขมาสู่ผู้คนได้เหมือนกัน เราวัดแรงบุญเป็นมาตวัดตามมาตรฐานทางจำนวนนับไม่ได้ ผลลัพธ์ที่แท้จริงคือ ความสุขและความอิ่มเอมต่างหากที่เราสามารถรับรู้ได้ หลายคนบ่นว่า โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน ก็ลองส่งความดีต่อๆกันไปดูสักครั้ง โลกนี้จะได้น่าอยู่ขึ้นอีกนานแสนนาน ให้แรงบุญหนุนโลกนี้ดีกว่าให้แรงแค้นฉุดโลกให้ทรุดลงไปมากกว่านี้ว่าไหมครับ พี่น้อง...

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริง


ความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวไปสักหน่อย หลายคนจึงไม่ค่อยให้ความสนใจในข่าวพายุเฮอริเคนที่ถล่มในหลายรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทั้งๆที่เป็นพายุที่รุนแรงมากที่สุด การติดตามข่าวเรื่องนี้จึงไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนัก เพราะสู้กระแสละคร แรงเงา เงียบ สงสัยไม่ช็อต แก่ ใจดี สปอร์ต กทม และข่าวดาราหมั้นกับเศรษฐีไม่ได้ มีหลายคนถึงกับพูดในเชิงลบว่า ดีแล้ว ก็ประเทศนี้ใช้ทรัพยากรมากเกินไปเอาเปรียบชาติอื่น ธรรมชาติย่อมเอาคืนอย่างสาสม ถ้าเรามองด้วยหัวใจเป็นธรรม ด้วยหัวใจแห่งความรัก ปลดเปลื้องเรื่องอคติออกไป เราจะเห็นว่าผู้คนอีกเรือนล้านกำลังตกทุกข์ได้ยาก ไร้ที่อาศัย ไม่มีไฟฟ้าใช้ เราจะมัวแต่ไร้สาระกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้อย่างไรกัน!!! สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดก็คือ สวดภาวนาให้กับพวกเขา เพราะด้วยแรงภาวนา คือ ความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงเป็นพลังรวมหมู่ของมวลมนุษย์ เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติได้
จากการติดตามข่าวที่ รอยเตอร์/เอเอฟพี รายงานว่า แซนดี้ คือพายุเฮอริเคน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ ทั่วทั้งแนวชายฝั่งด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะมหานครนิวยอร์ก และมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและอีกมากกว่า 1 ล้านคนต้องถูกอพยพออกนอกพื้นที่ ยังไม่นับรวมประชากรอีกเกือบ 6 ล้านคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดจากปัญหาไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ซูเปอร์สตอร์มขนาดใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้นำพาฝนตกหนัก และกระแสลมแรงเข้าถล่มพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางตะวันออก ที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เกิดน้ำท่วมในย่านโลเวอร์แมนฮัตตัน การคมนาคมขนส่งเป็นอัมพาต และยังทำให้ประชากรหลายล้านคนขาดกระแสไฟฟ้าใช้ อิทธิพลของแซนดี้จะทำให้เกิดหิมะตกหนักภายในประเทศ โดยคาดว่าเวสต์เวอร์จิเนียอาจมีหิมะตกหนา 2-3 ฟุตทีเดียว 
ล่าสุดหลังพายุเฮอริเคนพัดถล่มด้านตะวันออกของสหรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ราย แหล่งธุรกิจของโลก อย่างนิวยอร์ค ได้รับความเสียหายยับเยิน สร้างความเสียหายที่ประเมินอย่างคร่าวๆ ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นรองจากเหตุวินาศกรรม 9/11 เท่านั้น 
คนทั่วโลกต่างร่วมจิตร่วมใจสวดภาวนาขอให้ประเทศสหรัฐฯผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยดี ยามทุกข์ยากเรามักจะเห็นความเป็นหนึ่งเดียวเกิดขึ้น หรือว่านี่เป็นการให้บทเรียนจากเบื้องบน ใช่หรือไม่ ในสภาวการณ์ปกติ การเรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นยากมาก เพราะต่างคนต่างก็มีอคติติดตัว มีความคิดเป็นของตัวเองที่บุคคลอื่นห้ามรุกล้ำ มีโลกพื้นที่ให้ครอบครองอย่างแน่นหนา สังคมใหม่แห่งวัตถุและทุนนิยมได้ปลูกฝังเอาไว้จนกลายเป็นนิสัยของหมู่มวลมนุษย์ พอมีคนเรียกร้องให้เกิดความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว เราก็มักตั้งคำถามว่า คนนั้นเป็นคนอย่างไรมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่า ทั้งๆที่เราทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าทุกคนมีดีมีเลวในหนทางชีวิตด้วยกันทั้งนั้น นั่นเป็นเพราะเราอยู่ในยุคที่หลงใหลตัวเอง ดูแคลนคนอื่นไปเสียทุกครั้งหรือเปล่า ความเป็นหนึ่งในโลกจึงเป็นเพียงวาทะกรรมหรือไม่ก็กลายเป็นการจัดงานเพียงให้เห็นเปลือก ความเป็นหนึ่งเดียวจึงเป็นเรื่องลมๆแล้งๆไป
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
แต่โลกมักจัดสมดุลให้เกิดขึ้นเสมอ ใช่หรือไม่ ยิ่งเราหลงตัวตนกันมาก สร้างส่วนตัวครอบพื้นที่ยึดครองกันมากเท่าไหร่ ภัยธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นบ่อยครั้งและเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้น่าจะทำให้เราหยุดคิดและหันมาทบทวนตัวเรา เพื่อมุ่งสู่โลกที่เป็นสาธารณะมากขึ้น เราอยู่ในพื้นที่ของเรา ในโลกส่วนตัวของเราได้ ในขณะเดียวกันเราก็สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงให้เกิดขึ้นมาได้ นั่นคือ การสวดภาวนาให้กันและกัน ชีวิตภาวนาควรเป็นสิ่งที่คู่กับชีวิตคริสตชน เพียงแค่ภาวนาให้คนอื่นวันละนิด ความมืดมิดของสังคมก็จะค่อยๆจางหายไป
หนึ่งเดียวแรกที่เราจะได้รับจากการภาวนา คือ ความเป็นหนึ่งเดียวของร่างกายและจิตใจของเรา ร่วมกันเป็นหนึ่งยกถวายแด่พระเจ้า มีบทความหนึ่งที่ได้กล่าวถึงชีวิตภาวนาของพระคริสตเจ้าไว้ได้ดียิ่ง เมื่อไม่กี่ปีมานี้  ข้าพเจ้า (พระคาร์ดินัล รัทซิงเกอร์ : สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ) อ่านประวัติของคุณพ่อที่ดีองค์หนึ่งของศตวรรษของเรา  ท่านคือ  คุณพ่อ Don Didimo  เจ้าอาวาสวัด Bassano del Grappa  ในบทเขียนของคุณพ่อ  เต็มไปด้วยคำแนะนำที่ดีๆ มากมาย  ซึ่งเป็นผลจากชีวิตแห่งการภาวนาและการรำพึง  คุณพ่อ Don Didimo กล่าวเปรียบเทียบสำหรับพวกเราว่า  พระเยซูเจ้าประกาศข่าวดี ตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนพระองค์ทรงอธิษฐานภาวนา  วิธีการทั้งหลายจะว่างเปล่าถ้าหากขาดรากฐาน  แห่งการภาวนา  คำพูดต่างๆ ของคำประกาศของเรา  ต้องชุ่มฉ่ำด้วยชีวิตแห่งการภาวนาของเรา (รำพึงพระคัมภีร์ โดย คุณพอลแมรี่ สุวิช)
และวิถีคริสตชนในวันนี้ ยุคนี้ของเราปฏิบัติเช่นพระองค์ได้หรือเปล่า กลางวันทำงาน กลางคืนเราภาวนา หรือว่าทุกค่ำคืนอยู่หน้าจอทีวี นั่งจิ้มแป้นแชทคุยออนไลน์ หรือนั่งล้อมวงร่ำสุรา นั่งนินทาผู้คน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับวิถีชีวิตปัจจุบันกับการภาวนา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับการที่จะเริ่มต้น แล้วเราจะรู้ว่าความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ด้วยแรงภาวนา...

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 2


บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 2
การเดินทางไม่สิ้นสุดแท้จริงแล้วมันก็คือความจริงของชีวิต การมีชีวิตก็คือการเดินทางมาสู่โลกนี้เพื่อกลับไปบ้านเก่าด้วยความอิ่มเอม ...คณะของเราออกจากวาติกันมุ่งหน้าสู่เมืองปิซ่า ที่มีสัญลักษณ์หอเอน เมืองของนักวิทยาศาสตร์ก้องโลก กาลิเลโอ ผู้พลิกประวัติศาสตร์แห่งความจริง แต่ในเวลานั้นเขาก็ต้องทรมานกับการคิดไม่เหมือนคนอื่นและยืนอยู่บนความจริงที่ค้นพบ  กาลิเลโอ  เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่าลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้  ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่” “บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์และ บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่
และเพราะการเปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีข้อมูลสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน ทำให้ศาสนจักรต้องออกกฎให้แนวคิดเช่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม กาลิเลโอถูกบังคับให้ปฏิเสธความเชื่อเรื่องดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในบ้านกักตัวในความควบคุมของศาลศาสนา
อย่างไรก็ตาม ใน ปี ค.ศ. 1939 สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ Pontifical Academy of Sciences หลังจากทรงขึ้นรับตำแหน่งไม่กี่เดือน โดยเอ่ยถึงกาลิเลโอว่าเป็น วีรบุรุษแห่งงานค้นคว้าวิจัยผู้กล้าหาญที่สุด ... ไม่หวั่นเกรงกับการต่อต้านและการเสี่ยงภัยในการทำงาน ไม่กลัวเกรงต่อความตาย
วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1992 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีกาลิเลโอ  ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอโดยสร้างอนุสาวรีย์ของเขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกันเมื่อเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ในกิจกรรมการเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ของกาลิเลโอ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงเอ่ยยกย่องคุณูปการของกาลิเลโอที่มีต่อวงการดาราศาสตร์
ในอีกด้านหนึ่งกาลิเลโอเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ตัวยง  ท่านเขียนหนังสืออธิบายความรู้เรื่องจักรวาลหลายร้อยหน้า  โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์เป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา  
 รุ่งขึ้นคณะของเราก็เข้าสู่เมืองเวนิส เมืองแห่งลำน้ำ เมืองแห่งนักบุญมาระโกผู้นิพนธ์พระวรสาร เมืองที่ไม่มีรถวิ่งสักคันแต่มีร้านโชว์ของรถหรูเฟอรารี่...
จากนั้นเดินทางสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ดินแดนแห่งความเขียวขจี ทุกพื้นที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนล้วนแล้วแต่สบายสายตาก่อให้เกิดความสุขทางจิตใจ ใช่หรือไม่ หากว่าเราแต่ละคนเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นความร่มรื่นให้กันและกัน สันติสุขแห่งจิตใจคงกลายเป็นเพื่อนสนิทของเราตลอดกาล มีโอกาสใช้เส้นทางรถไฟอันเก่าแก่กว่า 100 ปี ขึ้นสู่ยอดภูเขาหิมะ ที่เมืองจุงฟราวเป็นยอดเขาที่อยู่ใจกลางของเทือกเขาแอลป์ ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกของโลกทางธรรมชาติขององค์การยูเนสโก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของยุโรป มีความสูงประมาณ 4,158 เมตรจากระดับน้ำทะเล  ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี  เป็นความสูงที่ร่างกายของบางคนอาจจะรับไม่ได้หากขึ้นไปโดยไม่ได้มีการปรับสภาพร่างกาย ดังนั้นแล้ว รถไฟจึงมีสถานีจอดเพื่อให้เราได้ลงไปผ่อนคลายพร้อมกับปรับความสมดุลของร่างกาย เพื่อรับกับความกดดันบนความสูงและความหนาวระดับติดลบบนภูเขาหิมะได้ คนเราจะขึ้นสู่ระดับสูงก็ต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ใครคิดก้าวกระโดดโดยไม่มีการปรับระดับก็อาจจะถูกแรงกดดันบีบคั้นให้กลายเป็นคนไร้สภาพได้ แม้ว่าหลายคนปรับแล้วพอขึ้นมาสู่สภาพนั้นจริงๆก็แทบเอาตัวไม่รอด จนเวียนหัว ลมใส่ลมจับ เกิดอาการอ่อนเพลีย นี่แหละชีวิตที่ต่างแข่งขันกันขึ้นไปให้สูงๆ บางคนก็ย่ำแย่เมื่อไปถึงยังจุดนั้น แต่ใครๆก็อยากจะขึ้นไปลิ้มลองดูสักครั้ง...จากนั้นคณะของเราก็เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปยังเมืองลูร์ด
การเดินทางสู่เมืองลูร์ด เพื่อหาแม่พระ เป็นเหมือนลูกๆที่วนเวียนกลับมาเยี่ยมแม่อีกครั้ง ...และการได้นัดพบกับ คุณพ่อเกรียงชัย ตรีมรรคา (คุณพ่อแมน) ทำให้คณะของเราได้ซาบซึ้งถึงความศรัทธาต่อพระแม่ ผู้นำเสนอคำวิงวอนของพวกเรา และรับรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคุณพ่อแมน คุณพ่อพูดภาษาได้เป็นอย่างดีจนสามารถทำพิธีและเทศน์เป็นภาษาฝรั่งเศสได้ คุณพ่อยังฝากความระลึกถึงมายังลูกวัดเซนต์หลุยส์ทุกๆคน...
คริสตชนยังคงหลั่งไหลไปเยี่ยมและไปหาแม่ที่เคยประจักษ์มาหานักบุญแบร์นาแด็ตอย่างมากมายเช่นเคย การได้ร่วมขบวนแห่โคม ท่ามกลางความหนาวเย็นแต่กลับอบอุ่นด้วยคลื่นศรัทธาของผู้คน ต่างคนต่างภาษาแต่สวดบทภาวนา วันทามารีย์ ร่วมกัน วันรุ่งขึ้นเราเห็นเหล่าบรรดาอาสาสมัครนำผู้ป่วยแถวยาวเหยียดเพื่อร่วมมิสซา หลายคนที่เพิ่งมาครั้งแรกต่างยืนมองดูด้วยอาการตื่นตะลึง ตะลึงในความศรัทธาและความเป็นหนึ่งเดียวกัน หลายคนบอกว่านี่คือ ความสุขใจอย่างยิ่งในชีวิต เราลาจากเมืองลูร์ดในเย็นย่ำของวันอาทิตย์ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก บนรถไฟเราต่างมาร่วมกันสวดภาวนาเพื่อร่ำลาพระแม่ ในใจมีสิ่งหนึ่งกังวลและได้พูดกับบางคนว่า กลัวว่าน้ำจะท่วมเมืองลูร์ด ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ได้รับข่าวว่าเมืองลูร์ดเกิดน้ำป่าเข้าท่วม เลวร้ายที่สุดในรอบสี่สิบปี อาสาสมัครเมืองลูร์ดทำงานรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเคลื่อนย้ายคนป่วยกว่า 500 คนได้อย่างปลอดภัย และเพียงแค่สองสามวันน้ำป่าก็หายไป ชาวเมืองและอาสาสมัครต่างออกมาช่วยกันทำความสะอาดให้กลับมางดงามดังเดิม อย่างไรเสียพระเจ้าก็มีหนทางมีบทเรียนเพื่อสอนเราให้รู้ถึงสัจธรรมว่า ไม่มีสิ่งใดแน่นอน แม้แต่พระศาสนจักรก็เคยพลาดพลั้ง แต่เมื่อกลับใจขออภัย ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ย่อมบังเกิดขึ้น แล้วเราหล่ะ ผ่านพ้นความสูง ความสาหัส ผ่านภัยต่างๆมาแล้วก็มาก วันนี้ชีวิตเรามีความเชื่อมั่นคงมากขึ้นและมีสันติสุขหรือเปล่า

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 1


บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 1
และแล้ววันเวลาที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางสายพระพร ก็ผ่านเข้ามาพบอีกครั้งในชีวิต นั่นคือ การเดินทางไปอิตาลีผ่านสวิตเซอร์แลนด์ และวกกลับมาหาแม่พระที่เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเดินทาง เกือบครึ่งหนึ่งของคณะ คือ บรรดาซิสเตอร์คณะพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าฯ และส่วนหนึ่ง คือ คนมักคุ้น บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความศรัทธา เสียงหัวเราะและความหรรษา ประกอบกับการมองโลกในด้านที่งดงามของผู้จัดการในครั้งนี้ ที่พกพารอยยิ้มและความเฮฮาในทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเวลากว่าครึ่งหนึ่งจะหมดเวลาไปกับการเดินทางที่แสนจะยาวไกล ความเบื่อหน่ายและเมื่อยล้าย่อมมี แต่ด้วยเสียงเพลงย้อนวันวานด้วยสำเนียงเสียงใสๆ ของคนที่ผ่านวันเวลามาก่อนพาให้เพลิดเพลินเจริญด้วยมิตรภาพ และทัศนีย์รอบๆข้างทางๆที่มีความแตกต่างจากสิ่งที่พบเห็นในเมืองไทย ใช่หรือไม่ การมีเวลาเดินทางไกลไปเรื่อยๆ ย่อมดีกว่าเสียเวลานั่งอยู่ในรถกลางถนน ติดยาวเหยียดไม่ขยับเป็นชั่วโมงๆ ข้างทางก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิด เห็นแล้วจนต้องหงุดหงิดตาม ....
จุดหมายปลายทางแรกของคณะของเราคือศูนย์รวมของพระศาสนจักร วาติกัน มหาวิหารนักบุญเปโตร ที่รายล้อมไปด้วยเสาใหญ่ๆเป็นกำแพงโค้ง ดุจดั่งการคืนสู่อ้อมกอดของพระเจ้าผ่านทางพระศาสนจักร แถวยาวเหยียดของผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตัวมหาวิหาร ทำให้หลายคนเกิดความท้อขึ้นมาบ้าง แต่อีกมุมมองหนึ่ง ใช่หรือไม่ คนอีกไม่น้อยที่ยังต้องการสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ ความเชื่อของผู้คนยังคงไม่มีเสื่อมคลายลงไป ครั้งนี้รู้สึกว่าต้องต่อแถวไกลกว่าครั้งที่เคยผ่านมา (ตุลาคมปีที่แล้ว) นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าอีกเพียงสองวัน (11 ตุลาคม) จะมีพิธีเปิดปีแห่งความเชื่อที่หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร เรายังเห็นการเตรียมการสำหรับงานนี้ เก้าอี้หลายพันตัวถูกเตรียมไว้ ประรำพิธีเริ่มติดตั้ง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ตารางเวลาของคณะเราไม่ได้มีเวลาอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัว การเริ่มต้นปีความเชื่อ ด้วยการมาเริ่มจากอ้อมกอดของพระเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่เตือนตนให้พยายามมีความเชื่อที่มั่นคงขึ้นเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน....
ไม่นานคณะของเราก็ได้มีโอกาสเข้าไปในตัวพระมหาวิหาร ความงดงามยังคงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรายังงดงามอยู่เช่นเดิมเป็นนิรันดร์ เมื่อยามที่ข้ามผ่านประตูสู่ภายใน เราได้พบกับบรรยากาศที่มีแสงสลัวๆแต่อบอุ่น ภาพประติมากรรมหินอ่อนชื่อ ปิเอตา (Pieta) แม่พระรับพระศพพระเยซูเจ้าไว้บนตัก ความงดงามของรูปปั้นอันลือชื่อ ที่ศิลปินไมเคิ้ล แอนเจโล (Michael Angelo) สลักหินแกร่ง จนมองเห็นเป็นผืนผ้าอ่อนช้อย เหมือนจริงทั้งอารมณ์และกายภาค ฝากความงามไว้ให้กับเราได้ชื่นชม รูปปั้นเหมือนมีชีวิตถ่ายทอดความทุกข์ของแม่ที่ต้องมารับศพลูกชาย ความทุกข์แสนสาหัสของพระนางนำพาให้มีพระศาสนจักรที่มั่นคง ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนี้ได้นำมาซึ่งธรรมอันล้ำลึกที่เป็นรากฐานแห่งความเชื่อ...เพราะแม่พระเชื่อพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจแม้รู้ว่าจะทุกข์เพียงใด
จากนั้นก็ผ่านมายังหลุมพระศพบุญราศี จอหน์ ปอลที่ 2 พระสันตะปาปาแห่งยุคสมัยใหม่ ผู้เปิดประตูความเชื่อให้แสงสว่างแห่งความรัก ความเมตตาและสันติภาพไปสู่โลกในช่วงที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่ง การได้มีโอกาสได้สวดต่อหน้าพระศพพระองค์ คือสิ่งปรารถนาในการเข้ามาในพระวิหารแห่งนี้ ขอบคุณสำหรับความสง่างามและความศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์ท่านได้มอบไว้ให้กับโลกนี้ได้จดจำ และเป็นการย้ำว่าความรักของพระเจ้านั้นใหญ่ยิ่งนัก
ผู้คนยังคงหลั่งไหลเข้ามาสวด มาเคารพ ต่อท่านนักบุญเปโตร ผู้ที่เป็นศิลาก้อนแรกที่ได้ทำให้ก้อนหินต่างๆก่อร่างสร้างให้เกิดความแข็งแกร่ง หลุมพระศพท่านใต้พระแท่นเสาเกลียวสี่เสาอันบรรเจิด คือสิ่งที่ท่านได้ค้ำยืนพระศาสนจักรตั้งแต่เริ่มแรกจวบจนปัจจุบัน ความงดงามของศิลปะที่ถ่ายทอดออกมารอบๆพระวิหาร สร้างความอิ่มเอมทุกครั้งที่ได้มาสัมผัส เรามีเวลาชื่นชมความงามได้ไม่นานนักก็ต้องออกมาเพื่อไปให้ตรงตามเวลานัดหมาย
เมื่อย่างก้าวผ่านออกมา ภายนอกมีแสงสว่าง แล้วเราล่ะ ก้าวข้ามผ่านความเชื่อมากี่ครั้งกี่หน ได้นำพาความเชื่อให้เป็นแสงสว่างมากน้อยเพียงใด ใช่ว่าวันนี้คนจะมีความเชื่อน้อยลง แต่คนที่บอกว่ามีความเชื่อกลับไม่ได้ทำให้ความเชื่อออกมาเป็นแสงสว่าง ก่อให้เกิดความกระจ่างใสต่อใจผู้คนต่างหากที่มีมากขึ้น ปีแห่งความเชื่อจึงเป็นการแสดงความเชื่อด้วยการปฏิบัติ และต้องปฏิบัติให้ได้ตามความเชื่อ หากเราเชื่อในพระคริสต์ชีวิตเรามีความรักมอบให้กับผู้คนรอบข้างมากน้อยแค่ไหน เราเป็นภาระให้กับคนอื่นหรือเป็นความสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ 
ในอ้อมกอดแห่งความเชื่อได้รวมเราไว้เป็นหนึ่ง แต่เรามักจะอึดอัดภายใต้อ้อมกอดนี้ มีไม่น้อยพยายามแกะให้หลุดจากความเชื่อ หรือมีไม่น้อยแม้จะอยู่ในอ้อมกอด แต่กลับไม่สนใจใคร ยังคงหลงเชื่อความเป็นตัวตน แอบอ้างว่ามีพระอยู่ในใจ มีบางบ้างคนแสดงความเชื่อเพื่อให้เป็นไปตามระบบระเบียบเพียงเท่านั้น มาวัดเพียงเพื่อสะสมแต้มทำยอด แต่ไร้ชีวิตจิตใจ มาร่วมพิธีแต่ใจยังฝักใฝ่ในเรื่องภายนอก เปิดรับทุกอย่างจากข้างนอกแต่ปิดใจสำหรับพระวาจา เชื่อมต่อกับทุกคนในทุกที่แม้แต่ในวัดวา แต่ต่อไม่ติดกับพระคริสต์ผู้เป็นศูนย์กลาง ความเชื่อเช่นนี้ไม่นานก็กลายเป็นความเบื่อ ไม่เหลือความกระตือรือร้นในการเปิดตนรับฟังข่าวดี ไม่มีจิตใจต้อนรับความอบอุ่นของพระเจ้าที่หยิบยื่นให้ เช่นนี้ก็คงไม่ต่างกับคนที่มาสู่วาติกันสู่นครศักดิ์แห่งนี้เพื่อเที่ยวชมความงาม ไม่นานก็จางหายหลงลืมหมดความตื่นเต้นไป..
ชีวิตแห่งความเชื่อย่อมเดินไปคนเดียวไม่ได้ การได้เดินทางร่วมกับเพื่อนฝูงและร่วมทางกับผู้ที่มีประสบการณ์ความเชื่อมากกว่า ย่อมนำพาความสุขและความอิ่มเอมมาให้ ...