ความดีทำง่าย เพียงพลิกฝ่ามือ
วันเวลาเดินทางผ่านไปราวกับว่าเรากำลังเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง ทั้งๆที่บางห้วงเวลาอยากให้วันเวลาเดินทางเหมือนรถไฟไทยจริงๆ
ไปอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ซึ่งก็คงเหมือนวันเวลาของเด็กๆที่ยังไม่ต้องกังวลสาละวนกับเรื่องราวต่างๆในชีวิตมากมาย
มีความสุขกับการวิ่งเล่น และไม่ต้องเครียดกับเรื่องที่ต้องตะเกียกตะกายหาความสบายให้ตนเองและครอบครัว
ยิ่งโตเวลายิ่งเร็วขึ้น ใช่หรือไม่ เมื่อเรามีเรื่องกังวลรุ่มร้อนใจมากเท่าใด เวลามักจะมีไม่พอ
ทำอะไรไม่ทันทุกที ยิ่งรีบยิ่งช้า ยิ่งเร่งยิ่งรน เวลามันผ่านไปเร็วหรือเป็นเพราะเรามีความกังวลต่อวันพรุ่งนี้และอนาคตมากเกินไป
หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพราะเราเกิดความกลัวมากกว่า กลัวจะไม่มีเหมือนคนอื่น
กลัวจะน้อยหน้าเพื่อนๆ กลัวเสียหน้า กลัวถูกหยามเหยียด กลัวความตายจะมาพรากเราไปจากสิ่งสะสมที่ยังไม่รู้จักเพียงพอ
แม้กระทั่ง กลัวว่าความดียังมีไม่พอ กลัวว่าวันเวลาจะฉุดรั้ง แย่งชิงความสะดวกสบายจากเราไป
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
แน่หล่ะ ใครบ้างจะไม่มีความกังวล
คนเดินดินกินข้าวสองสามมื้อ มีมือถือสองสามเครื่อง
เรื่องกลัวไม่ทันสมัย คือ สิ่งเสพติดของชนคนยุคใหม่ ยุคที่สื่อสารครองโลก
แล้วเราก็นิยามสิ่งที่เราดิ้นรน เสาะหามีเอาไว้ครอบครองว่า “ความสำเร็จ” พอไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ก็ถือว่าเป็น
“ความล้มเหลว”
ทั้งๆที่แก่นแท้ของชีวิตนั้น ความสำเร็จ คือ การพ้นผ่านความทุกข์ยากลำบาก
ต้องผ่านความอดทนและการลุกขึ้นสู้ใหม่
สร้างความแกร่งทางจิตวิญญาณขึ้นเรื่อยๆไม่มีวันจบ ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
มันอยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะ “สู้ต่อ” หรือ “ยอมแพ้” ต่างจากความสำเร็จ(รูป)จอมปลอมที่เรากำลังหลงใหล ที่มีองค์ประกอบเพียงแค่
มีตำแหน่งมีเงินเดือนสูง มีรถหรูขับ (แถมได้ภาษีคืนอีกต่างหาก) มีบ้านใหญ่โต
มีทีวีจอยักษ์ มีมากมายจนลืมใช้และใช้อย่างไม่คุ้มค่า ซื้อมาเป็นหมื่นเป็นแสนใช้เพียงร้อยสองร้อย
แต่สำหรับคนที่พยายามด้วยสองมือหนึ่งสมองและคุณธรรมประจำตนนั้น
เพื่อให้ได้มาครอบครองเครื่องอำนวยความสะดวกมักจะใช้อย่างเห็นคุณค่า
ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ และรู้ว่าค่าของเวลานั้นอยู่ที่ “การรู้จักใช้” มากกว่า
และคนที่ผ่านความสำเร็จที่แท้จริงมาได้นั้น
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ
การรู้จักประคับประคองให้เดินทางอยู่บนหนทางความดีงาม เพราะระหว่างทางความดีนั้นความชั่ว
ย่อมมีมาให้พบเจอได้เสมอๆ
เพียงพลาดผิดจากความดีเพียงนิดเดียวก็กลายเป็นชั่วช้าได้ในสายตาของคนอื่น
และยิ่งในสังคมที่มีผู้คนหลากหลายเต็มไปด้วยมลพิษทางปากและไวรัสที่ชื่อว่า “นินทา” ด้วยแล้ว เพียงครั้งเดียวที่พลาดผิดกลับไปปิดร้อยความดีที่ได้ทำมา
เพราะโดยลึกๆของคนทั่วไปแล้ว ความผิดพลาดของคนอื่นก็ คือ สิ่งที่เราอยากเห็นนั่นเอง
แล้วคอยกระหน่ำซ้ำเติม ความดีความเลวมันมีเส้นต่างกันไม่มาก เพียงพลิกนิดเดียวก็กลับด้านได้แล้ว
ใช่...หลายคนบอกว่าการทำดีนั้นยาก เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย
ความดีอาจมิใช่อยู่ที่ผลเสมอไป
แต่อยู่ที่ตรงความพยายามกระทำดีอย่างที่สุดนั่นสำคัญกว่า
สิ่งไหนที่กระทำแล้วสบายใจ
พบความสงบสุขทางจิต นั่นแหละ ความดีงาม แต่สิ่งไหนกระทำแล้วต้องระมัดระวัง
ต้องหลบๆซ่อนๆ มีความกังวล เกิดทุกข์ใจ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย สิ่งนั้น ก็คือ ความไม่ดี
จิตใจของเราเป็นตัววัดค่าสิ่งเหล่านี้ได้ หากรู้จักฟังใจเราให้เป็นบ้าง
ดังเช่นนิทานเซนเรื่องนี้
ยังมีนายพลผู้หนึ่ง
ขณะที่สนทนาธรรมกับอาจารย์เซนไป๋อิ่น ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่?...”
อาจารย์เซนมิได้ตอบอันใด
แต่กลับถามนายพลผู้นั้นกลับไปว่า “ท่านเป็นใคร?”
นายพลตอบว่า “เราคือแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร”
มิคาด อาจารย์เซนกลับหัวเราะออกมา
พลางกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “เป็นคนโง่คนใดที่ยกย่องให้ท่านเป็นแม่ทัพนายกองกันหนอ
เพราะท่านดูอย่างไรก็คล้ายพวกคนฆ่าสัตว์มากกว่า”
ได้ยินดังนั้น แม่ทัพใหญ่บันดาลโทสะ
ต้องการสังหารอาจารย์เซน จึงยกดาบขึ้นพลางกล่าวว่า “งั้น.. ท่านจงเบิ่งตาดูเราฆ่าท่านเถิด!”
ขณะที่จะลงดาบ
อาจารย์เซนจึงกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “นี่ยังไงล่ะ ตอนนี้ประตูนรกที่ท่านถามถึงกำลังเปิดออกแล้ว”
แม่ทัพได้ยินดังนั้นจึงฉุกคิดได้
พร้อมทั้งลดดาบในมือลง
จากนั้นเมื่อใจเย็นขึ้นแม่ทัพจึงเอ่ยกับอาจารย์เซนด้วยความสำนึกผิดว่า “ต้องขออภัยที่ล่วงเกิน
ท่านอาจารย์
โปรดให้อภัยข้าด้วย”
ยามนั้น อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า “หากกล่าวเช่นนี้
ประตูสวรรค์ ย่อมกำลังเปิดออกแล้วเช่นกัน”….
และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีกี่วัน ความดีงามจะต้องมีอยู่คู่ไปในชีวิต
ผิดบ้างพลาดบ้าง อย่าไปกังวล กลับใจพลิกตัว ตั้งต้นใหม่
อย่าไปกังวลต่อเสียงผู้คนที่พูดถึงเรามากนัก ถ้าใจเราบอกว่าสิ่งไหนดี สิ่งนั้นย่อมงดงาม
และมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างก็ลงมือทำเลย บางสิ่งบางอย่างในชีวิตต้องการการแก้ไข
เพียงแค่พลิกฝ่ามือผลที่ดีก็จะตามมา
เพียงแต่ว่าเรากล้าที่จะพลิกมือของเราหรือเปล่า
หรือจะรอให้มีรถไฟขบวนสุดท้ายมาถึงจึงจะตัดสินใจ
ระวังจะตกรถขบวนแห่งความดีงามนี้นะครับ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น