วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 1


บันทึกในอ้อมกอดแห่งความเชื่อ 1
และแล้ววันเวลาที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางสายพระพร ก็ผ่านเข้ามาพบอีกครั้งในชีวิต นั่นคือ การเดินทางไปอิตาลีผ่านสวิตเซอร์แลนด์ และวกกลับมาหาแม่พระที่เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเดินทาง เกือบครึ่งหนึ่งของคณะ คือ บรรดาซิสเตอร์คณะพระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้าฯ และส่วนหนึ่ง คือ คนมักคุ้น บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความศรัทธา เสียงหัวเราะและความหรรษา ประกอบกับการมองโลกในด้านที่งดงามของผู้จัดการในครั้งนี้ ที่พกพารอยยิ้มและความเฮฮาในทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเวลากว่าครึ่งหนึ่งจะหมดเวลาไปกับการเดินทางที่แสนจะยาวไกล ความเบื่อหน่ายและเมื่อยล้าย่อมมี แต่ด้วยเสียงเพลงย้อนวันวานด้วยสำเนียงเสียงใสๆ ของคนที่ผ่านวันเวลามาก่อนพาให้เพลิดเพลินเจริญด้วยมิตรภาพ และทัศนีย์รอบๆข้างทางๆที่มีความแตกต่างจากสิ่งที่พบเห็นในเมืองไทย ใช่หรือไม่ การมีเวลาเดินทางไกลไปเรื่อยๆ ย่อมดีกว่าเสียเวลานั่งอยู่ในรถกลางถนน ติดยาวเหยียดไม่ขยับเป็นชั่วโมงๆ ข้างทางก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิด เห็นแล้วจนต้องหงุดหงิดตาม ....
จุดหมายปลายทางแรกของคณะของเราคือศูนย์รวมของพระศาสนจักร วาติกัน มหาวิหารนักบุญเปโตร ที่รายล้อมไปด้วยเสาใหญ่ๆเป็นกำแพงโค้ง ดุจดั่งการคืนสู่อ้อมกอดของพระเจ้าผ่านทางพระศาสนจักร แถวยาวเหยียดของผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตัวมหาวิหาร ทำให้หลายคนเกิดความท้อขึ้นมาบ้าง แต่อีกมุมมองหนึ่ง ใช่หรือไม่ คนอีกไม่น้อยที่ยังต้องการสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ ความเชื่อของผู้คนยังคงไม่มีเสื่อมคลายลงไป ครั้งนี้รู้สึกว่าต้องต่อแถวไกลกว่าครั้งที่เคยผ่านมา (ตุลาคมปีที่แล้ว) นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าอีกเพียงสองวัน (11 ตุลาคม) จะมีพิธีเปิดปีแห่งความเชื่อที่หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร เรายังเห็นการเตรียมการสำหรับงานนี้ เก้าอี้หลายพันตัวถูกเตรียมไว้ ประรำพิธีเริ่มติดตั้ง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ตารางเวลาของคณะเราไม่ได้มีเวลาอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัว การเริ่มต้นปีความเชื่อ ด้วยการมาเริ่มจากอ้อมกอดของพระเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่เตือนตนให้พยายามมีความเชื่อที่มั่นคงขึ้นเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน....
ไม่นานคณะของเราก็ได้มีโอกาสเข้าไปในตัวพระมหาวิหาร ความงดงามยังคงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรายังงดงามอยู่เช่นเดิมเป็นนิรันดร์ เมื่อยามที่ข้ามผ่านประตูสู่ภายใน เราได้พบกับบรรยากาศที่มีแสงสลัวๆแต่อบอุ่น ภาพประติมากรรมหินอ่อนชื่อ ปิเอตา (Pieta) แม่พระรับพระศพพระเยซูเจ้าไว้บนตัก ความงดงามของรูปปั้นอันลือชื่อ ที่ศิลปินไมเคิ้ล แอนเจโล (Michael Angelo) สลักหินแกร่ง จนมองเห็นเป็นผืนผ้าอ่อนช้อย เหมือนจริงทั้งอารมณ์และกายภาค ฝากความงามไว้ให้กับเราได้ชื่นชม รูปปั้นเหมือนมีชีวิตถ่ายทอดความทุกข์ของแม่ที่ต้องมารับศพลูกชาย ความทุกข์แสนสาหัสของพระนางนำพาให้มีพระศาสนจักรที่มั่นคง ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนี้ได้นำมาซึ่งธรรมอันล้ำลึกที่เป็นรากฐานแห่งความเชื่อ...เพราะแม่พระเชื่อพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจแม้รู้ว่าจะทุกข์เพียงใด
จากนั้นก็ผ่านมายังหลุมพระศพบุญราศี จอหน์ ปอลที่ 2 พระสันตะปาปาแห่งยุคสมัยใหม่ ผู้เปิดประตูความเชื่อให้แสงสว่างแห่งความรัก ความเมตตาและสันติภาพไปสู่โลกในช่วงที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่ง การได้มีโอกาสได้สวดต่อหน้าพระศพพระองค์ คือสิ่งปรารถนาในการเข้ามาในพระวิหารแห่งนี้ ขอบคุณสำหรับความสง่างามและความศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์ท่านได้มอบไว้ให้กับโลกนี้ได้จดจำ และเป็นการย้ำว่าความรักของพระเจ้านั้นใหญ่ยิ่งนัก
ผู้คนยังคงหลั่งไหลเข้ามาสวด มาเคารพ ต่อท่านนักบุญเปโตร ผู้ที่เป็นศิลาก้อนแรกที่ได้ทำให้ก้อนหินต่างๆก่อร่างสร้างให้เกิดความแข็งแกร่ง หลุมพระศพท่านใต้พระแท่นเสาเกลียวสี่เสาอันบรรเจิด คือสิ่งที่ท่านได้ค้ำยืนพระศาสนจักรตั้งแต่เริ่มแรกจวบจนปัจจุบัน ความงดงามของศิลปะที่ถ่ายทอดออกมารอบๆพระวิหาร สร้างความอิ่มเอมทุกครั้งที่ได้มาสัมผัส เรามีเวลาชื่นชมความงามได้ไม่นานนักก็ต้องออกมาเพื่อไปให้ตรงตามเวลานัดหมาย
เมื่อย่างก้าวผ่านออกมา ภายนอกมีแสงสว่าง แล้วเราล่ะ ก้าวข้ามผ่านความเชื่อมากี่ครั้งกี่หน ได้นำพาความเชื่อให้เป็นแสงสว่างมากน้อยเพียงใด ใช่ว่าวันนี้คนจะมีความเชื่อน้อยลง แต่คนที่บอกว่ามีความเชื่อกลับไม่ได้ทำให้ความเชื่อออกมาเป็นแสงสว่าง ก่อให้เกิดความกระจ่างใสต่อใจผู้คนต่างหากที่มีมากขึ้น ปีแห่งความเชื่อจึงเป็นการแสดงความเชื่อด้วยการปฏิบัติ และต้องปฏิบัติให้ได้ตามความเชื่อ หากเราเชื่อในพระคริสต์ชีวิตเรามีความรักมอบให้กับผู้คนรอบข้างมากน้อยแค่ไหน เราเป็นภาระให้กับคนอื่นหรือเป็นความสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ 
ในอ้อมกอดแห่งความเชื่อได้รวมเราไว้เป็นหนึ่ง แต่เรามักจะอึดอัดภายใต้อ้อมกอดนี้ มีไม่น้อยพยายามแกะให้หลุดจากความเชื่อ หรือมีไม่น้อยแม้จะอยู่ในอ้อมกอด แต่กลับไม่สนใจใคร ยังคงหลงเชื่อความเป็นตัวตน แอบอ้างว่ามีพระอยู่ในใจ มีบางบ้างคนแสดงความเชื่อเพื่อให้เป็นไปตามระบบระเบียบเพียงเท่านั้น มาวัดเพียงเพื่อสะสมแต้มทำยอด แต่ไร้ชีวิตจิตใจ มาร่วมพิธีแต่ใจยังฝักใฝ่ในเรื่องภายนอก เปิดรับทุกอย่างจากข้างนอกแต่ปิดใจสำหรับพระวาจา เชื่อมต่อกับทุกคนในทุกที่แม้แต่ในวัดวา แต่ต่อไม่ติดกับพระคริสต์ผู้เป็นศูนย์กลาง ความเชื่อเช่นนี้ไม่นานก็กลายเป็นความเบื่อ ไม่เหลือความกระตือรือร้นในการเปิดตนรับฟังข่าวดี ไม่มีจิตใจต้อนรับความอบอุ่นของพระเจ้าที่หยิบยื่นให้ เช่นนี้ก็คงไม่ต่างกับคนที่มาสู่วาติกันสู่นครศักดิ์แห่งนี้เพื่อเที่ยวชมความงาม ไม่นานก็จางหายหลงลืมหมดความตื่นเต้นไป..
ชีวิตแห่งความเชื่อย่อมเดินไปคนเดียวไม่ได้ การได้เดินทางร่วมกับเพื่อนฝูงและร่วมทางกับผู้ที่มีประสบการณ์ความเชื่อมากกว่า ย่อมนำพาความสุขและความอิ่มเอมมาให้ ...

ไม่มีความคิดเห็น: