เกิด...ทุกวัน
วันนี้คงจะเป็นวันเกิดของหลายๆคน ใครได้อ่านบทความนี้แล้วตรงกับวันเกิดก็ “ขอให้มีความสุขทุกลมหายใจเข้าออก” มนุษย์เรามีจำนวนมากมายหลายล้านล้านคน
แต่วันในรอบปีมีเพียง 365 วันเท่านั้น
ฉะนั้นแล้วคงไม่มีใครยึดครองวันใดวันหนึ่งไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว!!! ในวันเกิดของเราย่อมมีอีกหลายคนเกิดมาเหมือนๆกัน ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิด
หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด
โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด
เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน
จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
เราก็จะเห็นว่าเพลงอวยพรวันเกิดนั้น กลายเป็นบทเพลงที่นิยมร้องกันได้ทุกวัน
เป็นอมตะและเป็นสากลที่คนทุกชาติทุกภาษาต่างร้องได้ เพลงที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากคือเพลง “Happy
Birthday to you” ซึ่งกินเนสบุกได้ระบุว่าเป็นเพลงภาษาอังกฤษที่มีการร้องบ่อยที่สุดในโลก
แต่งทำนองโดย “แพ็ตตี้ ฮิลล์ และ มิลเดร็ด ฮิลล์” ในปี พ.ศ. 2436 โดยเริ่มแรกนั้นสองพี่น้องซึ่งเป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง
ได้ตั้งใจใช้สำหรับทักทายนักเรียนในชั้นโดยใส่ประโยคว่า “Good Morning to
All” (อรุณสวัสดิ์ทุกคน)
สำหรับเพลงรูปแบบที่เรารู้จักกันนั้นได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ใน
ปี พ.ศ. 2478 โดยบริษัทซัมมี (Summy Company) และมีกำหนดที่จะหมดอายุในปี พ.ศ. 2578 ในปี พ.ศ. 2533 วอร์เนอร์มิวสิกได้ซื้อบริษัทที่ครอบครองลิขสิทธิ์เพลงนี้ในราคา 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตีมูลค่าลิขสิทธิ์เพลงนี้ถึง
5 ล้านดอลลาร์
ในขณะที่สถานะของลิขสิทธิ์นี้ในปัจจุบันไม่ชัดเจนนัก
วอร์เนอร์ระบุว่าการแสดงเพลงนี้ในที่สาธารณะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (แต่เพลงนี้กลายเป็นเพลงสาธารณะประจำโลกมนุษย์ไปแล้ว
ใครมาจับปรับค่าลิขสิทธิ์คงถูกไล่ออกจากโลกนี้แน่ๆ: ผู้เขียน) เนื้อร้องปัจจุบันที่ใช้คำว่า “Happy Birthday” นั้นไม่ทราบว่าผู้ที่ริเริ่มเป็นใคร : ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
ที่เขียนเล่ามานั้นต้องการอยากจะบอกว่า
แท้จริงสรรพสิ่งในโลกนี้มิอาจจะให้ใครยึดครองเป็นเจ้าข้าว
เจ้าของแต่เพียงผู้เดียวได้ แต่เราก็กลับดิ้นรนขวนขวายไขว่คว้า
เพื่อให้ได้มาครอบครอง การเกิดของเราในโลกนี้นั้นแท้จริงแล้วเพื่ออะไรเล่า
ในวันเกิดเราได้รับคำอวยพรก็มิได้หมายความว่า เราจะยึดพรนั้นเพียงเพื่อตัวเราเอง
เป็นหน้าที่หลักที่เราต้องต่อยอดพรนั้นให้ทวีความดีงามมากขึ้น
ยิ่งนับวันผู้คนมากมาย หลากหลายความต่าง แล้วต่างคนต่างคิด
ต่างคนต่างยึดมั่นถือครอง ความเป็นตัวตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น วัฒนธรรมการแบ่งปัน
การให้ก็ดูจะไร้แล้งลงไปในทุกวัน คุณค่าของการระลึกถึงวันเกิดนั้น
ควรเป็นการรำลึกถึงความสุขที่เราจะส่งมอบให้กันและกัน
และจะมีสักกี่คนบนโลกที่เมื่อใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิด
มีผู้คนเรือนล้านต่างออกมาร่วมยินดีปรีดา มีการเตรียมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่
เตรียมทั้งภายในและภายนอก ใช่หรือไม่ การเตรียมฉลองคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงนี้มีสิ่งที่เราต้องทำการไตร่ตรองและนำมาเป็นบทเรียน
ไม่ธรรมดาแน่ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดมาบนโลก
แล้วทำให้โลกได้จดจำเป็นเวลานานแสนนาน และในทุกรอบปีวันเกิด
จะมีงานฉลองที่จัดขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ เหตุผลใดเล่าทำให้ชายที่ชื่อ “เยซู” เป็นที่ยอมรับของผู้คนมากอย่างยาวนาน
แท้จริงแล้ว...ชายผู้นั้นไม่ได้เกิดเพียงเพื่อตัวเอง
แต่เกิดมาสานภารกิจเพื่อผู้อื่นโดยแท้ การยอมสละ ละทิ้งอำนาจ
ยอมถูกกล่าวหาสารพัด จนกระทั่งยอมตายเพื่อรักษาความสงบของสังคมโดยรวม
ไม่ยอมให้เสียเลือดเสียเนื้อของผู้อื่นเพียงเพื่อตัวเองจะได้มีอำนาจ
นี่ต่างหากความยิ่งใหญ่แห่งการเกิดมาของชายผู้นั้น ผู้ที่เป็น “พระคริสต์” ของพวกเรา
หันมามองสังคมที่สวยเพียงเปลือกแห่งยุคสมัยปัจจุบัน
ต่างแย่งชิงวิ่งวุ่น เพียงเพื่อรักษาฐานของตัวเอง โดยการเพิ่มเติมใส่ความโลภ
ความเห็นแก่ตัว ไม่เคยยอมที่จะสละตัวเอง เราต่างเฝ้ากล่าวโทษผู้อื่น
เมื่อไม่ได้ดังหวัง
เราต่างสร้างทุกข์ให้เกิดขึ้นทุกๆวันโดยการไม่นำพาว่าคนอื่นจะมีความเดือดร้อนเช่นไร
เราเรียกร้องต้องให้ผู้อื่นอยู่เคียงข้าง
แต่เรามักจะหลบหายไปข้างหลังในวันที่ผู้อื่นกำลังแย่ เราถามหาโอกาสจากผู้อื่นแต่เราปล่อยให้ผู้อื่นเดียวดายในอากาศในครั้งที่เขาต้องการโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง
เราบอกว่าเราจริงใจต่อทุกคน
แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็โกหกและตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อสร้างภาพของความจริงใจใส่กัน
เราพยายามยึดครองความคิดของผู้คนด้วยวาทกรรม ด้วยเสียงอันดังทรงพลังขึงขัง
แต่หลังฉากมันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างฐานฐานะให้กับตัวเอง
เราเห็นคนอื่นเป็นที่ชื่นชมแต่เรากลับขมขื่นยืนไม่เป็นด้วยความอิจฉา
ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นมานั้น เป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจว่า เราล้วนเกิดมาเพื่ออะไร?
ที่สุดมนุษย์เราในทุกยุคทุกสมัย
ต่างก็เสาะหาคำตอบในความหมายของการมีชีวิต ในสมัยนักบุญยอห์น บัปติส
ก็มีคนมาถามท่านว่า “เราจะต้องทำอะไร?” ท่านนักบุญ ก็ตอบว่า “ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้แก่คนที่ไม่มี คนที่มีอาหาร
ก็จงทำเช่นเดียวกัน” แล้วจะมีกี่คนเล่าทำได้อย่างที่ท่านนักบุญบอกกล่าว
หลายคนยังคงเสาะแสวงหาคำตอบเพียงเพื่อให้ถูกใจ ให้ตรงใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด
ตัวเองเป็น เพียงเพื่อเหตุผลในการยึดครองต่อไป เราเองก็เช่นกัน เราก็ต่างแสวงหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นสุข
แต่เมื่อได้คำตอบเราก็ไม่ทำตาม ใช่หรือไม่ ในรอบปีมีคำอวยพรวันเกิดของเรา
ลองนำความสุขที่ได้รับมาแบ่งปันให้ผู้อื่นสักนิด และลองคิดดูว่า หากคนเกิดวันนี้มอบความสุขให้ผู้อื่น
เพียงคนละนิด ก็จะมีความสุขเกิดขึ้นทั่วโลก และจะเกิดขึ้นทุกๆวันด้วย บรรยากาศแห่งคริสต์มาส
ก็จะดำรงอยู่ในโลก ทุกวันๆตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น