วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงบุญ


แรงบุญ
วันจันทร์และวันอังคารถือว่าเป็นวัน แรงเงา แห่งชาติ เป็นข้อความสั้นๆที่เพื่อนผู้มีความคิดบรรเจิดได้ตั้งไว้ในสถานะทางเฟซบุ๊ค และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะทุกเย็นยันค่ำของวันจันทร์และวันอังคาร ผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรีบเร่ง เฝ้ารอหน้าจอเพื่อจะดูละคร แรงเงา ซึ่งเป็นละครที่ดูเหมือนจะถูกจริตกับสังคมยุคใหม่ที่นางเอกไม่ได้ตกเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ลุกขึ้นมาตอบโต้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน สร้างความสาสะใจให้แก่ผู้ชมจนติดกันหนึบหนับ เนื้อเรื่องก็หนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสเบื้องต้นของคนทุกคน ใช่หรือไม่ แม้จะมีการแก้แค้นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ตัวละครแต่ละตัวก็ไม่เห็นมีความสุขได้เลย หลายฉากมักจะทำให้เห็นว่ากลางคืนก็นอนไม่หลับ ฝันร้าย คาดคิดไว้ว่าละครตอนจบ จะจบลงด้วยการสำนึกผิดและการให้อภัยกัน แล้วความสุขก็จะบังเกิดขึ้นในตอนจบเพียงตอนเดียวก็คือสิ่งปรารถนาที่เราๆอยากได้เห็น...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ดูละครแล้วย้อนดูตัวตน การแก้แค้น การจงเกลียดจงชังกัน ไม่อาจจะนำความสุขมาสู่วิถีชีวิต เป็น แรงเงา ที่ไล่ล่าติดตัวไปไม่สิ้นสุด มันต่างกับการที่เราทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ด้วยแรงบุญ ใช่แหละสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากมากในการปฏิบัติท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มได้ด้วยความเห็นแก่ตัว แต่โลกนี้ยังมีคนใจบุญที่ทำสิ่งงดงามแบบเงียบๆเรียบๆอีกมากมาย ที่ไม่ได้เป็นจุดขายเพื่อขยายในสื่อธุรกิจ
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ณ เมืองที่วุ่นวายแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนทั้งเมืองหน้าตาไม่มีความสุขเอาเสียเลย ต่างคนต่างอยู่ดูแล้วหมองหม่น หญิงสาวคนหนึ่งเฝ้ามองดูบรรยากาศในเมืองที่อาศัยแห่งนี้มานานนับปี เธอพยายามส่งยิ้มให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา แต่เธอก็ได้เห็นแต่รอยหยักบนใบหน้าที่อาการงงๆ ว่าเธอบ้าไปหรือเปล่า ยิ้มอยู่ได้ คนยิ้มที่เมืองนี้กลายเป็นคนแปลกแยกไปซะแล้ว วันหนึ่งเธอก็เกิดความคิดแนวใหม่ขึ้น เมื่อเธอได้อ่านพบทฤษฎี การส่งต่อความดี ในหนังสือเล่มหนึ่ง เธอจึงลองทำดู ด้วยการเข้าไปดื่มกาแฟในร้าน เสร็จแล้วเธอก็จ่ายค่ากาแฟ แต่เธอจ่ายเพิ่มไปอีกหนึ่งแก้ว แล้วบอกกับพนักงานในร้านไว้ว่า นี่เป็นค่ากาแฟจ่ายให้คนที่มาสั่งกาแฟต่อจากฉันไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หลังจากนั้นคนที่เข้ามาดื่มต่อจากเธอก็แปลกใจและก็ได้ทำอย่างเธอบ้าง วันนั้นทั้งเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่เดินออกจากร้านกาแฟนั้น มีใบหน้าที่สดใสและมีรอยยิ้ม ดูมีความสุขมากขึ้น ทุกคนไม่รู้ว่ากาแฟที่ได้ดื่มจากเงินของคนที่ไม่รู้จักนั้นได้นำความอร่อยล้ำที่มากกว่ารสชาติกาแฟเสียอีก และมีหรือที่คนเราเมื่อได้รับแล้วจะไม่คิดให้ต่อบ้าง การจ่ายค่ากาแฟเผื่อคนอื่นกระจายเป็นวงกว้าง เรียกว่าแทบจะได้ดื่มกาแฟฟรีกันทั้งเมือง ทุกคนจึงหันมาพูดคุย ถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกัน ความเป็นพี่น้องร่วมเมืองกลับมา ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นจากเงินค่ากาแฟเพียงไม่กี่บาท...
หนังสือเล่มที่ผู้หญิงคนนั้นได้อ่านเขียนโดย Catherine Ryan Hyde เป็นนักเขียนที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้จักถึงกระบวนการส่งต่อความดี ผ่านตัวหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาและได้มีการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ขึ้น ชื่อเรื่องว่า Pay It Forward. พร้อมกับการสร้างกระแสให้กับคนทั่วโลก เริ่มรู้จักการส่งต่อความดีแบบมหาศาล โดยที่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงแค่เริ่มจากคนตัวเล็กๆ จากเด็กน้อยคนหนึ่งที่ต้องการคิดทฤษฎีเปลี่ยนแปลงโลก โดยทฤษฎีที่ว่านี้ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ด้วยการช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่างน้อยสามคน และก็ปล่อยให้สามคนนี้ทำความดีไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ บริจาค หรือเป็นจิตอาสาให้กระจายไปอีกสามคนถัดไป จนขยายเป็นวงกว้างเหมือนหยดน้ำหยดเดียวที่สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หรืออย่างเช่น เฉินซู่จวี้ แม่ค้าขายผักชาวใต้หวัน เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่พิสูจน์ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า คนที่มีฐานะที่อาจเรียกได้ว่ายากจน ก็สามารถเป็นผู้ให้เหมือนเศรษฐีคนอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้มีฐานะขึ้นมาก่อน ชีวิตของเธอทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นทำงานจนไม่มีลายนิ้วมือและกินข้าววันละมื้อเท่านั้น ใช้เงินวันละเล็กน้อย แต่บริจาคเงินช่วยเหลือผู้อื่นไปแล้วร่วมสิบล้าน ในฐานะแม่ค้าขายผัก จนกระทั่งนิตยสารไทม์ยกย่องให้เธอเป็นร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2010 และเป็นบุคคลยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 ของเอเชีย
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
แม้แต่ในวัดของเราก็ได้มีการกระทำการส่งต่อความดีด้วยเหมือนกัน เมื่อประมาณสัก 2- 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา คุณพ่อสุพจน์ เจ้าอาวาสของเรา ได้จัดนำหนังสือสวดภาวนาในครอบครัวคริสตชนมาเพื่อให้พี่น้องได้นำไปสวดร่วมกัน  ด้วยการจำหน่ายในราคาที่ถูก อยู่ๆก็มีสัตบุรุษคนหนึ่งจ่ายเงินค่าหนังสือบทภาวนานี้ทั้งหมด แล้วให้นำมาแจกฟรีในอาทิตย์นั้น โดยไม่ปรารถนาจะออกชื่อเสียงเรียงนาม คนที่ได้หนังสือไปก็คงสวดภาวนาร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข ผลบุญจากการสวดภาวนาด้วยหนังสือเล่มนี้ ได้สร้างสันติสุขเกิดขึ้นในทันที
การทำบุญนั้นไม่ว่าจะทำมากทำน้อยผลของบุญ ย่อมนำความสุขมาสู่ผู้คนได้เหมือนกัน เราวัดแรงบุญเป็นมาตวัดตามมาตรฐานทางจำนวนนับไม่ได้ ผลลัพธ์ที่แท้จริงคือ ความสุขและความอิ่มเอมต่างหากที่เราสามารถรับรู้ได้ หลายคนบ่นว่า โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน ก็ลองส่งความดีต่อๆกันไปดูสักครั้ง โลกนี้จะได้น่าอยู่ขึ้นอีกนานแสนนาน ให้แรงบุญหนุนโลกนี้ดีกว่าให้แรงแค้นฉุดโลกให้ทรุดลงไปมากกว่านี้ว่าไหมครับ พี่น้อง...

ไม่มีความคิดเห็น: