แรงบุญ
วันจันทร์และวันอังคารถือว่าเป็นวัน “แรงเงา” แห่งชาติ
เป็นข้อความสั้นๆที่เพื่อนผู้มีความคิดบรรเจิดได้ตั้งไว้ในสถานะทางเฟซบุ๊ค
และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะทุกเย็นยันค่ำของวันจันทร์และวันอังคาร
ผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรีบเร่ง เฝ้ารอหน้าจอเพื่อจะดูละคร “แรงเงา”
ซึ่งเป็นละครที่ดูเหมือนจะถูกจริตกับสังคมยุคใหม่ที่นางเอกไม่ได้ตกเป็นผู้เสียเปรียบ
แต่ลุกขึ้นมาตอบโต้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน สร้างความสาสะใจให้แก่ผู้ชมจนติดกันหนึบหนับ
เนื้อเรื่องก็หนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสเบื้องต้นของคนทุกคน
ใช่หรือไม่ แม้จะมีการแก้แค้นกันอย่างถึงพริกถึงขิง
ตัวละครแต่ละตัวก็ไม่เห็นมีความสุขได้เลย หลายฉากมักจะทำให้เห็นว่ากลางคืนก็นอนไม่หลับ
ฝันร้าย คาดคิดไว้ว่าละครตอนจบ จะจบลงด้วยการสำนึกผิดและการให้อภัยกัน
แล้วความสุขก็จะบังเกิดขึ้นในตอนจบเพียงตอนเดียวก็คือสิ่งปรารถนาที่เราๆอยากได้เห็น...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
ดูละครแล้วย้อนดูตัวตน การแก้แค้น
การจงเกลียดจงชังกัน ไม่อาจจะนำความสุขมาสู่วิถีชีวิต เป็น “แรงเงา” ที่ไล่ล่าติดตัวไปไม่สิ้นสุด
มันต่างกับการที่เราทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ด้วย“แรงบุญ” ใช่แหละสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากมากในการปฏิบัติท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มได้ด้วยความเห็นแก่ตัว
แต่โลกนี้ยังมีคนใจบุญที่ทำสิ่งงดงามแบบเงียบๆเรียบๆอีกมากมาย
ที่ไม่ได้เป็นจุดขายเพื่อขยายในสื่อธุรกิจ
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ณ
เมืองที่วุ่นวายแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนทั้งเมืองหน้าตาไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ต่างคนต่างอยู่ดูแล้วหมองหม่น
หญิงสาวคนหนึ่งเฝ้ามองดูบรรยากาศในเมืองที่อาศัยแห่งนี้มานานนับปี
เธอพยายามส่งยิ้มให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา
แต่เธอก็ได้เห็นแต่รอยหยักบนใบหน้าที่อาการงงๆ ว่าเธอบ้าไปหรือเปล่า ยิ้มอยู่ได้
คนยิ้มที่เมืองนี้กลายเป็นคนแปลกแยกไปซะแล้ว วันหนึ่งเธอก็เกิดความคิดแนวใหม่ขึ้น
เมื่อเธอได้อ่านพบทฤษฎี “การส่งต่อความดี” ในหนังสือเล่มหนึ่ง เธอจึงลองทำดู ด้วยการเข้าไปดื่มกาแฟในร้าน
เสร็จแล้วเธอก็จ่ายค่ากาแฟ แต่เธอจ่ายเพิ่มไปอีกหนึ่งแก้ว
แล้วบอกกับพนักงานในร้านไว้ว่า “นี่เป็นค่ากาแฟจ่ายให้คนที่มาสั่งกาแฟต่อจากฉันไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้”
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
หลังจากนั้นคนที่เข้ามาดื่มต่อจากเธอก็แปลกใจและก็ได้ทำอย่างเธอบ้าง
วันนั้นทั้งเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่เดินออกจากร้านกาแฟนั้น
มีใบหน้าที่สดใสและมีรอยยิ้ม ดูมีความสุขมากขึ้น ทุกคนไม่รู้ว่ากาแฟที่ได้ดื่มจากเงินของคนที่ไม่รู้จักนั้นได้นำความอร่อยล้ำที่มากกว่ารสชาติกาแฟเสียอีก
และมีหรือที่คนเราเมื่อได้รับแล้วจะไม่คิดให้ต่อบ้าง การจ่ายค่ากาแฟเผื่อคนอื่นกระจายเป็นวงกว้าง
เรียกว่าแทบจะได้ดื่มกาแฟฟรีกันทั้งเมือง ทุกคนจึงหันมาพูดคุย
ถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกัน ความเป็นพี่น้องร่วมเมืองกลับมา
ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นจากเงินค่ากาแฟเพียงไม่กี่บาท...
หนังสือเล่มที่ผู้หญิงคนนั้นได้อ่านเขียนโดย
Catherine Ryan Hyde เป็นนักเขียนที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้จักถึงกระบวนการส่งต่อความดี
ผ่านตัวหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาและได้มีการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ขึ้น
ชื่อเรื่องว่า Pay It Forward. พร้อมกับการสร้างกระแสให้กับคนทั่วโลก
เริ่มรู้จักการส่งต่อความดีแบบมหาศาล
โดยที่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงแค่เริ่มจากคนตัวเล็กๆ
จากเด็กน้อยคนหนึ่งที่ต้องการคิดทฤษฎีเปลี่ยนแปลงโลก โดยทฤษฎีที่ว่านี้ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน
ด้วยการช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่างน้อยสามคน
และก็ปล่อยให้สามคนนี้ทำความดีไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ บริจาค
หรือเป็นจิตอาสาให้กระจายไปอีกสามคนถัดไป
จนขยายเป็นวงกว้างเหมือนหยดน้ำหยดเดียวที่สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
หรืออย่างเช่น เฉินซู่จวี้
แม่ค้าขายผักชาวใต้หวัน เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่พิสูจน์ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า คนที่มีฐานะที่อาจเรียกได้ว่ายากจน
ก็สามารถเป็นผู้ให้เหมือนเศรษฐีคนอื่นๆ ได้
โดยที่ไม่ต้องรอให้มีฐานะขึ้นมาก่อน ชีวิตของเธอทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก
ถึงขั้นทำงานจนไม่มีลายนิ้วมือและกินข้าววันละมื้อเท่านั้น ใช้เงินวันละเล็กน้อย
แต่บริจาคเงินช่วยเหลือผู้อื่นไปแล้วร่วมสิบล้าน ในฐานะแม่ค้าขายผัก
จนกระทั่งนิตยสารไทม์ยกย่องให้เธอเป็นร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2010
และเป็นบุคคลยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 ของเอเชีย
ภาพจากอินเตอร์เน็ต |
แม้แต่ในวัดของเราก็ได้มีการกระทำการส่งต่อความดีด้วยเหมือนกัน
เมื่อประมาณสัก 2- 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา คุณพ่อสุพจน์ เจ้าอาวาสของเรา
ได้จัดนำหนังสือสวดภาวนาในครอบครัวคริสตชนมาเพื่อให้พี่น้องได้นำไปสวดร่วมกัน ด้วยการจำหน่ายในราคาที่ถูก
อยู่ๆก็มีสัตบุรุษคนหนึ่งจ่ายเงินค่าหนังสือบทภาวนานี้ทั้งหมด
แล้วให้นำมาแจกฟรีในอาทิตย์นั้น โดยไม่ปรารถนาจะออกชื่อเสียงเรียงนาม
คนที่ได้หนังสือไปก็คงสวดภาวนาร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข
ผลบุญจากการสวดภาวนาด้วยหนังสือเล่มนี้ ได้สร้างสันติสุขเกิดขึ้นในทันที
การทำบุญนั้นไม่ว่าจะทำมากทำน้อยผลของบุญ
ย่อมนำความสุขมาสู่ผู้คนได้เหมือนกัน เราวัดแรงบุญเป็นมาตวัดตามมาตรฐานทางจำนวนนับไม่ได้
ผลลัพธ์ที่แท้จริงคือ ความสุขและความอิ่มเอมต่างหากที่เราสามารถรับรู้ได้
หลายคนบ่นว่า โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน ก็ลองส่งความดีต่อๆกันไปดูสักครั้ง
โลกนี้จะได้น่าอยู่ขึ้นอีกนานแสนนาน
ให้แรงบุญหนุนโลกนี้ดีกว่าให้แรงแค้นฉุดโลกให้ทรุดลงไปมากกว่านี้ว่าไหมครับ
พี่น้อง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น