วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

งดงามในยามมืดมน


งดงามในยามมืดมน
ในช่วงใกล้ๆปลายปี ที่กำลังย่างก้าวสู่ฤดูหนาวอย่างนี้ มีทั้งฝน แสงแดดและความอึมครึมปกคลุมไปทั่วทั้งบรรยากาศ ท้องฟ้าในยามเช้าดูจะอ้อยอิ่งเสียเหลือเกิน กว่าฟ้าจะเปิด กว่าฟ้าจะสว่างก็ปาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงแปดโมงเช้า ในบางวันความมืดมนก็ขยันเกินควร ห้าโมงก็เริ่มมียิ้มเยาะหัวเราะใส่ ความมืดจึงมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ต่างกับชีวิตของคนเรากระมัง!!! ที่ทุกวันนี้เห็นมีแต่เสียงพร่ำบ่นถึงควาหม่นหมอง ถึงความทุกข์ยากที่เป็นรากแก้วของความมืดมน มันก็น่าแปลกที่คนเรายามมีความสุข เรามักไม่ค่อยจะแบ่งปันความสุข บอกเล่าความสุขให้คนอื่นฟัง ทำเป็นหวงแหนกลัวคนอื่นจะมาแย่งชิง เอาไปครอบครอง กอดรัดความสุขไว้เพียงลำพัง ทำไปทำมาก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา โลกนี้จึงมืดมนเพราะคนไม่ค่อยได้แบ่งสุขให้กันและกัน ความมืดมนปนความทุกข์ยากนำมาซึ่งความเศร้าหมอง แต่หากว่าเราเรียนรู้ที่จะมองให้เห็นแง่งามในนามความทุกข์ เราก็จะอยู่กับความมืดมนได้อย่างงดงาม
ท้องฟ้า...ใช่ว่าจะมืดมนตลอดกาลฉันใดใยชีวิตคนเราจะอับโชคไร้โศกได้เล่า มีแต่เพียงเราเท่านั้นที่จะก่อหน่อความงามให้เกิดขึ้นในกองทุกข์นั้น ในความทุกข์ในความมืดมนมักมาพร้อมกับการท้อแท้ ความท้อแท้ไม่เคยแก้ปัญหาของชีวิต ทุกครั้งที่ความท้อแท้มาเยือน ความเข้มแข็งจะห่างหายจากเราไป คนเราแต่ละคนมักพบเจอความมืดมน ท้อแท้ไม่เหมือนกัน โลกนี้จึงยังไม่เคยมีใครมีความสุขครบบริบูรณ์ หรือคนที่มีแต่ความทุกข์โศกาตลอดเวลา คงมีบ้างบางคนยิ้มแย้มกลางความสิ้นหวัง หรือบางคนฝืนยิ้มกลางกองสมบัติมากล้น คนก็เป็นเช่นนี้ บางคนสารพัดปัญหาร้อยแปดพันประการ ผิดหวังจากสิ่งที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นแล้วการจัดการกับความท้อแท้นั้นสำคัญมาก
ความท้อแท้จัดอยู่ในหมวดของอุปสรรคในชีวิตก็ว่าได้  ความท้อแท้ก็คือความเจ็บปวดลึกๆของชีวิต บางครั้งก็ยากที่คนอื่นจะรับรู้ได้จึงดูเหมือนว่าเผชิญอยู่ในความมืดมน ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเราก็คิดว่าสิ่งต่างๆของชีวิต ซึ่งมืดมนสับสน โดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนโลกทั้งใบมีเราเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยมิได้เหลียวแลดูผู้คนรอบข้าง ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ และอย่าท้อนาน ความท้อแท้ไม่มีวันแก้ปัญหาของชีวิตได้เลย รังแต่จะทำให้ชีวิตเราแย่ลง ไม่มีใครโชคดีตลอดเวลา และไม่มีใครโชคร้ายเสมอไป และคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ว่า เราต้องโชคดีเสมอไป เราเหนือกว่าใคร ดีกว่าใคร
หลิวเหว่ย เป็นเด็กหนุ่มชาวจีนอายุ 23 ปี เขาเสียแขนทั้งสองข้างไปจากอุบัติเหตุในวัยเด็ก เมื่อตอนที่เขาอายุ 10 ขวบ เขาไปจับเอาสายไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งเข้าสู่แขนทั้งสองข้าง ขณะเล่นซ่อนหาอยู่กับเพื่อนๆ
หลิวเหว่ย กลายเป็นคนพิการภายหลังอุบัติเหตุครั้งนั้นทันที ชีวิตเขาจมสู่ความมืดมน จากคนปกติกลายเป็นคนไร้สภาพ มีแต่แม่ของเขาที่พยายามพร่ำสอนให้เขาช่วยเหลือตัวเอง เพื่อว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้เมื่อต้องอยู่เพียงคนเดียว หลิวเรียนรู้ ที่จะทำทุกอย่างด้วยตนเอง โดยอาศัยปากและ เท้าของตน
อุบัติเหตุทำให้เขาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้หยุดความฝันของหลิวที่จะเป็นนักเปียโน ในสายตาของคนทั่วไปแม้จะมีแขนมีนิ้วมือครบถ้วน เปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากยิ่ง   ต้องอาศัยความพยายามและความอดทนในการฝึกฝน เขาพยายามหาครูสอนให้เขาเล่นด้วยนิ้วเท้าให้ได้ ครูเปียโนคนแรกของเขา ล้มเลิกการสอน และบอกเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเล่นเปียโนด้วยนิ้วเท้า
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลิวไม่ท้อแท้ที่จะเรียนเปียโนพร้อมกับฝึกฝนการใช้ปากและเท้าทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เหมือนคนทั่วไป เขาฝึกเปียโนด้วยเท้าทุกวันด้วยตัวเองจวบจนเมื่อเขามีอายุได้ 19 ปี เขาก็สามารถเล่นเปียโนด้วยตนเองอย่างจริงจัง เพื่อจะบรรลุเป้าหมายการเป็นนักดนตรีตามความฝันที่มีอยู่
 “สำหรับคนเช่นผม มีทางเลือกอยู่แค่สองทางเท่านั้น ทางแรก คือ ยอมล้มเลิกความใฝ่ฝันทั้งหมด ซึ่งย่อมนำไปสู่ความตายอย่างคนที่สิ้นหวัง อีกทางหนึ่ง ก็คือ การดิ้นรนแม้ไม่มีแขนเพื่อที่จะมีชีวิตที่มีคุณค่าได้ ผมจึงขอเลือกทางที่สอง เพราะผมว่าชีวิตผมแม้ไร้แขนแต่หาไร้ค่าไม่” 
“..แม่ผมสอนผมว่า ผมไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น เพียงแค่คนอื่นใช้มือ แต่ผมใช้เท้าเท่านั้นเอง..
พระเจ้านั้นยุติธรรมกับเราเสมอ ให้เวลาได้พบสุขเจอทุกข์เพื่อสร้างพลังให้เข้มแข็ง พระองค์ทรงส่งเรามาเพื่อให้เราได้ฝึกวิทยายุทธ์ไว้ต่อกรกับความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ ในทุกช่วงเวลามักมีความงดงามเสมอ ความงดงามที่อยู่ในใจเรา นำออกมาเป็นเกราะคุ้มภัย ทุกข์ นำออกมาเพื่อสร้างพลังใจให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง แม้ความมืดมนจะปนอยู่ในทุกย่างก้าว  แต่เราต้องไม่จมหายไปกับมัน เมื่อมีฟ้ามืดใยเลยจะไม่มีวันฟ้าใส ในวันฟ้ามืดเพียงเราหลับตาและลืมตาอย่างช้าๆอีกครั้งเราก็จะมองเห็นทุกสรรพสิ่งในท่ามกลางความมืดมนนั้น หากว่าลืมตารับแสงตะวันในยามเช้าตรู่ พยายามมองดูหลายชีวิต ต่างก็ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแข่งขันกัน เราก็อย่าได้เป็นเช่นนั้นขจัดความต้องการ ความปรารถนาที่มากล้น ที่เป็นตัวนำความทุกข์ยากมาสู่ชีวิตวันละนิดวันละหน่อย ปล่อยให้มันหลุดลอยหายไป รักษาจิตรักษาใจ เตรียมพร้อมน้อมรับความเป็นไปของชีวิตให้ได้ในทุกสถานการณ์ พยายามเข้าใจและยิ้มรับกับวันใหม่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับความมืดมนอย่างดีที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น: