วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่


ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ในแต่ละวันมีผู้คนที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลกเกิดขึ้นตลอดมา มนุษย์มากมาย หลายความคิดสร้างสรรค์ ก่อให้มีสิ่งใหม่ๆปรากฏขึ้นตลอดเวลา แล้วมีวันไหนบ้างไหมที่เราได้เป็นผู้ก่อประโยชน์ให้แก่โลกที่เราอาศัยอยู่นี้บ้าง วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลียวหลังกลับไปเมื่อ 5 ปี 10 ปี 20 ปี ที่ผ่านมา เพียงแค่นี้ เราก็ได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีการสื่อสาร มีการพัฒนาอย่างยิ่งยวด รวดเร็ว จนกลายเป็นยุค สื่อสารครองโลก  มีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นมาเร็วและก็เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดูเหมือนว่าสิ่งสร้างสรรค์ยุคใหม่มีอายุการใช้งานสั้นมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็จะได้รับจากต่อยอดไปสู่สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1992 โปรแกรมเมอร์ชาวอังกฤษชื่อว่า Neil Papworth ทดลองส่งข้อความสั้นผ่านเทคนิคที่ถูกเรียกชื่อว่า Short Messaging Service จากเมือง Newbury, Berkshire โดยทดลองส่งข้อความว่า “Merry Christmas.” จากคอมพิวเตอร์พีซีไปยังโทรศัพท์มือถือของ Richard Jarvis พนักงานบริษัท Vodafone นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของบริการ SMS ซึ่ง Vodafone นำไปต่อยอดและขยายบริการจนเป็นช่องทางการสื่อสารที่ง่ายและสนุกสนานในวงกว้าง โดยนับจากปี 1992 เท่ากับขณะนี้ บริการ SMS ที่ถูกใจหลายคนนั้นมีอายุสิริรวม 20 ปีพอดี
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม SMS ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถแพร่หลายในตลาดโลก จนกระทั่งช่วงที่ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มลดลง ผู้ใช้จึงเริ่มเห็นว่าการส่งข้อความ SMS เป็นช่องทางการสื่อสารที่สะดวกสบายและประหยัดกว่าการโทรศัพท์
และวันนี้วงการ SMS กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะการตีตลาดของแอปพลิเคชันรับส่งข้อความแชตบนสมาร์ทโฟนที่กำลังมีอิทธิพลเหนือ SMS อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอิทธิพลของเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ไลน์ (Line) ซึ่งเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถรับส่งข้อความได้แบบทันใจ ในเวลาเดียวทั่วทุกที่ทั้งโลก
เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าเราเองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงของวิวัฒนาการนี้เหมือนกัน และในเวลานั้นเราทำอะไรอยู่!!!! แน่หล่ะ...เราอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่คนนับล้าน แต่เราก็คงได้ทำอะไรดีๆอยู่ก็ได้(มั๊ง) ซึ่งก็ดีกว่าการนั่งพร่ำบ่น ต่อว่าวันเวลา ต่อขานผู้คน และเหยียดหยามสภาพแวดล้อม และจมอยู่กับความหวาดกลัวของการมีชีวิต และกลัวการสิ้นสุด
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เมื่อพูดถึง กลัวการสิ้นสุด ก็ทำให้นึกถึงคำนายที่มีต่อโลกด้วยการแอบอิงตำนานปฏิทินชนเผ่ามายาที่จบลงในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ก็อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้แล้วสิ... มีการกล่าวขานถึงว่าวันนั้นจะเป็นวันสิ้นโลก วันโลกแตก มีกลุ่มคนที่ตั้งเป็นนิกายที่เชื่อเรื่องเหล่านี้ มีบ้างบางกลุ่มหวาดกลัวจนเชื่อมโยงเรื่องของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ประเภทที่เรียกว่าหลุดโลก ก่อให้กลายเป็นความกลัวมวลรวมของมนุษย์โลกไปแล้ว แม้กระทั่งในประเทศที่เราคิดว่าเจริญด้วยเทคโนโลยี ก็ยังจมปลักกับความกลัวในเรื่องนี้
เจ้าหน้าที่สั่งปิดยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาพิเรนีสของฝรั่งเศส ซึ่งพวกคลั่งลัทธิวันสิ้นโลกเชื่อว่าจะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่จะเหลืออยู่หลังโลกถึงกาลอวสานตามคำทำนายในวันที่ 21 ธันวาคม เหตุมีความหวั่นกลัวเกิดความโกลาหล รวมถึงปราบปรามนักธุรกิจหัวใสที่หวังหากินกับเรื่องนี้
ประชาชนที่เชื่อในลัทธิวันสิ้นโลกและพวกเฝ้าระวังยูเอฟโอ จะถูกห้ามขึ้นไปบนภูเขายอดราบ บูการาช ในเมืองโอเดอ ผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าโลกนี้จะถึงจุดจบตามคำทำนายของปฏิทินชนเผ่ามายา พวกเขาเชื่อกันว่ายอดเขาบูการาช คือแหล่งจอดยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกนี้จะเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโลกอย่างเงียบๆในถ้ำขนาดใหญ่ใต้ภูเขาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังว่าเมื่อตอนที่เอเลียนจะออกเดินทาง พวกมันจะพามนุษย์ผู้โชคดีบางส่วนเดินทางไปด้วย (Manager Online)
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ความกลัวย่อมมีอยู่ในจิตใจของเราทุกคน แล้วทำไมเราไม่ต่อยอดความกลัวด้วยการเตรียมตัวต้อนรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นด้วยใจสงบ เพราะแม้ว่าเมื่อมีวันเวลาแห่งการสูญสลายของโลกเกิดขึ้นจริงๆ เราก็ภาคภูมิใจที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เวลาย่อมมีค่าในวิถีชีวิตของแต่ละคน คุณค่าของเรามิได้อยู่ที่ว่าเราจะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดหรือไม่ (เพราะคงจะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่) แต่อยู่ที่เราได้ทำวันเวลาที่ผ่านไปผ่านมาอย่างไร สร้างสิ่งดีก่อความงดงามมากน้อยแค่ไหน และหากว่าวันนั้นไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เป็นอีกวันหนึ่งในเวลาของจักรวาลที่ผ่านไป อีก 5 ปี 10 ปี 20 ปี แล้วเราย้อนกลับมามอง ว่าในวันนั้นเราได้กระทำความดีงามอะไรไว้บ้าง ลองจดใส่สมุดบันทึกเอาไว้เป็นประวัติแห่งความดีงามของเรา เพื่อจะเป็นคำตอบในบททบทวนชีวิตในวันที่ยังมีลมหายใจในภายภาคหน้า
ที่สุดแล้ววันนี้ เวลานี้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรเล่า หนทางดำเนินชีวิตนี้มีเพียงเพื่อจะได้สิ่งตอบแทนมากขึ้น ได้เงินโบนัส ได้ตำแหน่งสูงขึ้นเพื่ออวดเบ่ง อวดอ้าง เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในเชิงสัญลักษณ์ให้ตัวเองเพียงแค่นี้หรือ ในวันเวลาที่ผ่านมา เราอาจจะเห็นคนอื่นเขาทำสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย เราก็ควรกลับมาตั้งคำถามว่า เราในวันเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรเพื่อผู้อื่นบ้างหรือยัง สัญญาณของการสิ้นสุดปีมีเพื่อให้เราทบทวนชีวิตเรา มากกว่าการที่จะไปตั้งความหวังเพื่อก่อให้เกิดความกลัวและความไม่มั่นคงในชีวิตยิ่งขึ้น อดีตและวันเวลาที่ผ่านมา นำมาเป็นบทเรียนสร้างพลังให้กล้าแกร่งและพร้อมจะเดินทางไปกับวันเวลาอย่างมีคุณค่า และเราก็จะมีคุณค่าให้กับโลกใบนี้แบบไม่รู้ตัว เราต้องทำลมหายใจ ณ เวลานี้ให้ดีที่สุด...

ไม่มีความคิดเห็น: