วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จิตอาสาจากใจสาธารณะ

จิตอาสาจากใจสาธารณะ

เห็นเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งในชุดนักเรียน กำลังกวาดใบไม้รอบๆวัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เด็กสาวเหล่านี้คงกำลังทำกิจกรรมเพื่อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ เห็นกวาดกันไปถ่ายรูปกัน ท่าทางน่ารักแต่ท่าทางการกวาดดูเก้ๆกังๆจับไม้กวาดกันไม่ค่อยจะเป็น เวลาผ่านไปสัก 5 นาที เด็กสาวเหล่านี้ก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ทางวัดรับรองการมาทำประโยชน์ แล้วพวกเธอก็จากไป ใบไม้ที่กองไว้ยังคงอยู่เป็นกองเล็กๆ หรือว่านี่เป็นภาคบังคับให้เด็กเหล่านี้ต้องมาบำเพ็ญประโยชน์ หรือว่านี่เป็นหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องจิตอาสา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่...ดูแล้วน่าสงสารพวกเด็กหญิงเหล่านี้ที่ขาดการเรียนรู้วิถีแห่งการเป็นจิตอาสาที่แท้จริง ทำเพื่อทำ ทำเพื่อให้มีผลงาน ได้ใบประเมินและเมินเฉยต่อแก่นแท้

พูดถึงจิตอาสา เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกมากมายหลายคนที่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ ซึ่งแน่นอนเด็กๆเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เพียงเข้าใจในนัยของจิตอาสาไม่กระจ่างแจ้งและขาดการชี้แนะที่ดี

จิตอาสา คือ ผู้มีจิตใจที่พร้อมจะให้ ให้สิ่งของ ให้เงินทอง ให้ความช่วยเหลือด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสมองและสติปัญญา ซึ่งเป็นการเสียสละในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือชำนาญการ ให้แม้กระทั่งเวลา มอบให้กับส่วนรวมด้วยความเต็มใจและไม่แอบอิงสิ่งตอบแทน หรือแม้แต่คะแนนในการทำความดี ในอีกมิติหนึ่งจิตอาสายังช่วย ลดความเห็นแก่ตัวลงได้บ้าง

เนื้อแท้ของความเป็นอาสาสมัครนั้นอยู่ที่จิตใจ คือมี จิตอาสา ที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น หรือนึกถึงส่วนรวม จะเป็นครู พ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ ก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ตลอดเวลา หากมีจิตใจที่คำนึงถึงส่วนรวมอยู่เสมอ เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า อาสาสมัคร นั้นไม่ใช่เป็นอาชีพ หากคือสำนึกที่สมควรมีอยู่คู่กับความเป็นมนุษย์ของเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ (พระไพศาลวิสาโล)

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตอาสาอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว มีความหวังดีต่อผู้อื่น อยากช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่ทำไมสังคมที่มีความวุ่นวาย มีการแข่งขันที่ร้อนแรงในทุกๆด้าน มีการเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส มีการกล่าวร้ายเสียดแทง มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ชิงประชาชน ใช่หรือไม่ ล้วนแล้วแต่มา ความเห็นแก่ตัว หรือเอาแต่เป็นหลักเป็นที่ตั้ง

ความเห็นแก่ตัว เริ่มจากความกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เราต่างก็ปรารถนาจะสร้างรังเล็กๆของตนขึ้น สร้างเปลือกห่อหุ้ม เพื่อว่าเราจะได้อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัย ทำอย่างไรที่จะช่วยกันลดความเอาแต่ได้ลง การให้ คือคำตอบที่ง่ายและสั้นแต่ทำยาก เริ่มต้นด้วยการมองออกไปสู่ภายนอก มองเห็นผู้อื่นอย่างลึกซึ้งอย่างแท้จริงมากขึ้น เริ่มเข้าใจมุมมองของคนอื่น เขาต้องการอะไร เขาอยู่ในสภาพไหน เราช่วยอะไรได้บ้าง และเริ่มให้ เริ่มสละสิ่งที่เรามีอยู่ สละความเป็นตัวเราของเรานั่นเป็นหนทางการพัฒนาจิตใจแต่ละคน

มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ มีนักศึกษาสาวเครียดปัญหาทางบ้าน แถมทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ชวนเพื่อนมานั่งเล่นระบายอารมณ์ใต้สะพานพระราม 8 ก่อนจะแอบขึ้นไปบนสะพานโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย หนุ่มขายของเก่าที่สนามหลวง ที่นั่งตกปลาอยู่ รีบกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ได้ แต่เกิดเป็นตะคริวจมน้ำตาย

เป็นจิตสำนึกของชายหนุ่มผู้เก็บของเก่าขาย เป็นคนที่มีใจสาธารณะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับฐานะและการศึกษา การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คิดชีวิตเป็นจิตอาสาขั้นสูง เป็นจิตสำนึกของคนผู้เกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐ ใช่หรือไม่ การศึกษาที่ก้าวล้ำนำเด็กสู่ทางตัน แก้ปัญหาไม่เป็น เพราะจมปลักอยู่กับเรื่องของตัวเอง การตายของหนุ่มคนนั้นอาจจะทำให้นักศึกษาสาวได้คิดถึงคุณค่าของชีวิต และคุณค่าของความรักที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน ไม่จำเป็นต้องเที่ยวตามงอนง้อกัน เพราะรักที่แท้ไม่ใช่แค่ฐานะ ยี่ห้อรถยนต์ รักที่มีนามสกุลใหญ่ รักแท้ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนและรักแท้มีอยู่คู่โลก โลกที่เต็มไปด้วยความสวยงามเสมอ

การปลุกน้ำใจให้งอกงามกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาช่วยกันดูแลสังคมร่วมกัน ดูแล ชุมชน ดูแลวัด โดยมองออกนอกกรอบของเรื่องตัวเอง ออกมาดูคนอื่น เห็นใจ เข้าใจคนอื่นกันมากขึ้น ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ทำดีให้เป็นรูปธรรมกันมากขึ้นในสังคมไทย มิใช่เพียงแต่นั่งวิพากษ์วิจารณ์ ออกมารับผิดชอบมีส่วนร่วมด้วยกัน นี่เป็นการสร้างจิตอาสา ใจสาธารณะ เป็นหัวใจของคริสต์มาสที่เราจำเป็นต้องมีและปลูกฝังลงในหัวใจของเด็กรุ่นใหม่ทุกคน หาไม่เช่นนั้นอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเห็นข่าวเด็กฆ่าตัวตายเป็นเรื่องปกติสามัญประจำสังคม เพราะคนดีอย่างหนุ่มคนนั้นสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปหมดแล้ว...

ไม่มีความคิดเห็น: