วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กลัวสิ้นโลกหรือกลัวอะไรกันแน่

กลัวสิ้นโลกหรือกลัวอะไรกันแน่

ความตั้งใจตั้งแต่เริ่มแรกว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ หาที่สงบๆอากาศเย็นๆ นั่งริมธารน้ำอ่านหนังสือให้จบสักเล่มสองเล่ม เพื่อปลดปล่อยผ่อนคลายจากความสับสนวุ่นวายในชีวิตช่วงนี้ จึงรับปากกับผู้เชิญชวนให้ไปพักผ่อนกับชมรมผู้สูงอายุของวัดเซนต์หลุยส์ที่เมืองกาญจน์ มีที่พักริมลำธารใส แต่เมื่อไปถึงพบแต่อากาศที่ร้อนอบอ้าว ลมหายเข้ากลีบเมฆ เมฆหายเข้าแผ่นฟ้า ปล่อยให้อาทิตย์เริงร่า แผ่ซ่านแสงอันร้อนระอุให้จุใจ แต่ก็ยังดีที่มีรอยยิ้มจากผู้สูงวัย มีหัวใจอันกล้าแกร่งของผู้เป็นแม่ สร้างให้โลกวันนั้นน่าอยู่น่าภิรมย์ขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ความร้อนใดเล่าจะเผาไฟรักในหัวใจคนได้

พูดถึงความร้อนของอากาศก็คิดถึงเรื่องของภาวะโลกร้อน ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือว่านี่เป็นสัญญาณเตือนถึงกาลของโลกใกล้แตกดับ ย้อนคิดกลับไปอีกว่าสิ่งหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับอายุขัย คือ คำเล่าขานถึงวันสิ้นโลก จำได้อย่างแม่นยำตอนยังเด็ก สมัยที่ยังต้องนอนฟังข่าวสารจากวิทยุเป็นหลัก วันที่มีข่าวว่าสกายแล็บ ชิ้นส่วนยานอวกาศจะหล่นใส่โลก ครั้งนั้นบรรดาผู้ใหญ่ต่างก็กล่าวขานกันว่าอาจจะเป็นวันสิ้นโลกแล้วกระมัง วันที่คาดหมายนั้นได้นอนมองขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อเตรียมวิ่งหลบจนหลับไป ตื่นขึ้นพ่อเล่าให้ฟังว่า ชิ้นส่วนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกลงสู่มหาสมุทร โลกก็รอดพ้นจากการแตกดับ และเรื่องราวความหวาดกลัวของมนุษยชาติเกี่ยวกับวันสิ้นโลกก็ยังไม่หมดไป ที่โด่งดังที่สุดคงเป็นช่วงปี 2000 หลายคนคงจำกันได้ถึงปรากฏการณ์ Y2K ได้ดี ปีนั้นเป็นปีที่จะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ผู้คนทั่วโลกต่างหวาดวิตกกังวลกับเหตุการณ์มากมายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต่างพากันตื่นตระหนกว่าข้อมูลต่างๆ จะสูญหาย พากันไปถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารจำนวนมาก กลัวว่าตัวเลขในบัญชีจะสูญไป เมื่อปี 2000 มาเยือน มีการรายงานข่าวตามเวลาของแต่ละประเทศเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว แล้วทุกอย่างก็เป็นปกติจนถึงวันนี้ เป็นปกติจนทำให้หลายคนไม่เชื่อถึงคำทำนายวันสิ้นโลก กลับมาใช้ชีวิตเพื่อให้โลกได้สิ้นไปเร็วขึ้น ใช้ชีวิตที่ทำร้ายทำลายธรรมชาติและมนุษย์ด้วยกันเองมากเสียกว่ายุคใดสมัยใด

แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุค กี่สมัย ความกลัวร่วมกันของชาวโลกในเรื่องการสิ้นโลก ก็ยังดำรงอยู่ในคนหมู่มาก มีคำทำนายออกมามากมาย ให้เราได้อ่าน สร้างเป็นภาพยนตร์ให้ได้ดูก็มากหลาย หนังสือก็มีผู้เขียนกันมากขึ้น คำทำนายล้วนแต่สร้างความหวาดหวั่นในใจมนุษย์เสมอมา และเมื่อเร็วๆนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งขายดิบขายดี หนังสื่อนั้นชื่อว่า 2012 วันสิ้นโลก ซึ่งแปลมาจากหนังสือ Apocalypse 2012 เขียนโดย ลอว์เรนซ์ อี.โจเซฟ (Lawrence E.Joseph) เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่พูดถึงวันสิ้นโลก สำหรับข้อมูลในการเขียนผสมผสานไปด้วย ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้น น่าเชื่อถือ รายงานความเป็นไปได้จากข้อมูลที่ค้นคว้ามา

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงความเชื่อและคำทำนายของชาวมายัน (บางที่ก็เรียกว่าชาวมายา) ที่กล่าวเอาไว้ว่า โลกจะดับสูญในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 วัน เดือน และปีที่อ้างถึงนี้เป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน หนังสือ Apocalypse 2012 ขายได้เป็นแสนๆเล่ม มีการแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 21 ภาษา

ผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต่างออกมาแสดงความเห็นต่างๆนานา เนื้อหาในหนังสือย่อมสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวโลกผู้อ่อนไหวต่อการสิ้นโลก และมีคนรุ่นใหม่หลายคนที่แสดงความเห็นไว้ว่า พวกเขายังเยาว์นักหากต้องตายลงในปี 2012 ซึ่งจะมาถึงในอีก 3 ปีนับจากนี้ บางคนถึงขั้นพูดเสริมเติมเข้าไปว่า แม้โลกจะยังไม่สิ้นไป แต่ตอนนี้ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ก็กำลังสำแดงฤทธิ์ออกมามากบ้างน้อยบ้าง ภาพที่เห็นตามสื่อต่างๆ ก็สะท้อนถึงการค่อยๆ สิ้นลงไปของสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ คำทำนายทั้งหลายทั้งปวงหากสืบค้นดูรากฐาน ล้วนแล้วแต่มาจากพระคัมภีร์แทบทั้งสิ้น

แล้วเราจะเชื่อคำทำนายเหล่านั้นหรือไม่.... พระเยซูเจ้าตรัสว่า ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว พระองค์ต้องการจะสอนเราว่า อย่าไปหวาดวิตก หวาดกลัวถึงวันนั้น สิ่งสำคัญคือ การดำเนินชีวิตของเราควรจะอยู่ในครรลองแห่งความชอบธรรม อย่ามัวหลงใหลกับความสุขบนโลกนี้ที่ไม่อนิจจัง ทุกสิ่งมีวันดับสูญ และถ้าถามกันจริงๆเรากลัวว่าโลกจะสิ้น หรือกลัวอะไรกันแน่ เรากลัวการถูกพิพากษาลงโทษต่างหาก... ถ้าการดำเนินชีวิตของเราทำดีเพราะกลัว ก็เป็นการทำดีที่ไม่มีความสุขบนโลกนี้ และถ้าเช่นนั้นเราจะมีความสุขนิรันดร์ได้เช่นไรเล่า

ไม่มีความคิดเห็น: