ให้หมดใจ
ลมหนาวพัดโชยมาได้วันสองวันก็กลับมาร้อนเหมือนเดิม แสงแดดตั้งแต่ยามเช้าแยงตาจนทำให้แสบตาเวลาขับรถ แหงนหน้ามองท้องฟ้าโปร่งโล่งไร้ล่องลอยเมฆน้อยคล้อยเคลื่อน ก็หวังว่าลมหนาวจะหวนกลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างบรรยากาศในค่ำคืนวันคริสต์มาส เมื่อกล่าวถึงคริสต์มาสเราคิดถึงอะไร เด็กๆก็อาจจะนึกถึงการละเล่นที่สนุกสนาน มีการจับฉลากสอยดาว สำหรับผู้ใหญ่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงแก่นของคริสต์มาส คือการให้ ให้แบบหมดใจแต่ไม่หมดตัว ให้เพื่อผู้อื่นไม่ใช่ให้เพื่อผู้อื่นมาชื่นชม การให้ในโลกนี้ในวิถีชีวิตเราทำได้หลายประการ มีแบบอย่างมากมายสำหรับเราที่มีผู้ผ่านกาลเวลาทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานของจีนในเว็บไซต์ผู้จัดการ www.manager.co.th มีเรื่องหนึ่งน่าประทับใจและเป็นต้นแบบต้นธารการให้ได้เป็นอย่างดี...
ในสมัยคริสศตวรรษที่ 976 ราชวงศ์ซ่ง เมื่อฮ่องเต้ไท่จู่ (เจ้า ควงอิ้น) สวรรคตจากอาการประชวร พระอนุชานาม เจ้า กวงอี้ ขึ้นครองราชย์แทนในนามของฮ่องเต้ไท่จง ยามที่อยู่ในราชบังลังค์ ได้ทรงใช้ชีวิตอย่างประหยัด มัธยัสถ์ และปฏิเสธที่จะใช้เงินหรือทองคำมาประดับตกแต่งราชวังโดยเด็ดขาด
ครั้งหนึ่ง หลังเสร็จจากการว่าราชการแผ่นดิน ขณะที่กำลังเสด็จผ่านอุทยาน ทรงเห็นขันทีผู้น้อยผู้หนึ่งกำลังโดนว่ากล่าวตบตี จึงได้หยุดสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น หัวหน้าขันทีจึงคุกเข่ากราบทูลว่า “เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ ได้รดน้ำดอกดอนญ่าเขียว ที่เป็นบรรณาการจากต่างประเทศจนตาย พระเจ้าข้า”
ฮ่องเต้ไท่จงได้ฟังจึงตรัสว่า “ปล่อยเขาเสีย เพราะเรื่องนี้มิใช่ความผิดของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับดอกไม้ต่างแดนประเภทนี้ หาได้ตั้งใจทำให้มันตายไม่ ข้ารู้มาว่าดอกไม้ประเภทนี้เติบโตอยู่ทางแดนใต้ เมื่อย้ายมันมายังภาคกลางย่อมไม่อาจเติบโตได้ดี จากนี้ไปข้าขอตั้งกฎว่า ห้ามให้มีการทุบตีผู้คนเพียงเพราะต้นไม้ใบหญ้าเช่นนี้อีก” ขันทีผู้น้อยเมื่อได้ฟัง ก็เกิดความซาบซึ้งกระทั่งหลั่งน้ำตา กล่าวคำสรรเสริญให้ท่านฮ่องเต้อายุยืนหมื่นๆปี
อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก ฮ่องเต้ไท่จงเสด็จออกมาจากห้องบรรทม พลันรู้สึกคอแห้ง ต้องการดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ สักแก้ว เมื่อยามจะเอ่ยปากกลับนิ่งไป พร้อมทั้งพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเมื่ออยู่ตามลำพัง ขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงเอ่ยถามว่า “เมื่อสักครู่นี้ ท่านฮ่องเต้ทรงต้องการรับสั่งสิ่งใด ข้าน้อยเห็นท่านเหมือนจะเอ่ยปาก แต่กลับนิ่งเงียบ ท่านต้องการสิ่งใด ทรงบอกข้าน้อยได้หรือไม่พระเจ้าข้า”
ยามนี้ฮ่องเต้ไท่จงจึงตรัสว่า “ข้าอยากดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ แต่นึกไปนึกมาข้ารู้ว่าในวังของเราไม่มีของสิ่งนี้ จึงไม่ได้เอ่ยปาก เพราะหากข้าเอ่ยปาก แม้ว่าตอนนี้ไม่มี แต่วันหน้าวันหลังพวกเจ้าคงต้องตระเตรียมน้ำบ๊วยเอาไว้เผื่อข้าเรียกหาทุกๆ วัน แต่ตัวข้าก็คงไม่ได้อยากดื่มมันทุกวันเป็นแน่ ดังนั้นจึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ข้าเป็นเจ้าแผ่นดิน ย่อมต้องไตร่ตรองให้จงหนัก ไม่อาจเพิ่มภาระให้ประชาชนเพียงเพื่อตามใจปากตนเอง แม้ว่าจะมีผู้เต็มใจรับใช้ข้ามากเพียงใดก็ตาม”
ไม่นาน ฤดูหนาวก็มาถึง ลมตะวันตกเฉียงเหนือนำพาพายุหิมะมา ทุกๆ แห่งเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง อากาศหนาวเย็นจับใจ ขนาดฮ่องเต้ไท่จงทรงฉลองพระองค์ด้วยหนังสุนัขจิ้งจอกยามเสด็จออกกลางแจ้ง กลับยังรู้สึกถึงความหนาวเย็นจนต้องรับสั่งให้คนก่อไฟ ทั้งยังทรงดื่มสุราเพื่อไล่ความหนาว ยามนั้นเมื่อความหนาวบรรเทาลง ฮ่องเต้ไท่จงทรงทอดพระเนตรไปยังนอกกำแพงวัง และคิดว่า “หิมะตกหนักเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองคงมีผู้คนที่ขาดแคลนถ่านไม้ ขาดแคลนข้าวปลาอาหารอยู่ไม่น้อย คนพวกนั้นย่อมลำบากกว่าข้าหลายเท่านัก” เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางปกครองเมืองหลวงเข้าเฝ้า เพื่อนำถ่านไม้และข้าวสาร อาหารแห้งไปแจกจ่ายให้กับชาวเมืองที่กำลังประสบความยากลำบากเนื่องจากความหนาวเย็นและขาดแคลนอาหาร เมื่อความช่วยเหลือไปถึง ผู้คนที่กำลังตกอยู่ในความยากลำบาก ต่างซาบซึ้งในความเมตตาของฮ่องเต้ พากันแซ่ซ้องสรรเสริญทั่วทั้งแผ่นดิน
สำหรับเราคนไทยองค์พ่อหลวงของเราก็ทรงปฏิบัติตนเหมือนฮ่องเต้ไท่จง ขอให้พระองค์มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน และคริสตชนแบบอย่างของการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือ องค์พระคริสตเจ้าที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและสิ้นพระชนม์แทนเรา หากวันนั้นองค์พระผู้ไถ่ไม่เสด็จมายังโลก เราจะมีโอกาสได้ลืมตามาชื่นชมโลกนี้หรือเปล่า เราจะมีโอกาสรับรู้ร้อนหนาวเช้าสายบ่ายเย็นหรือไม่ การเตรียมรับเสด็จเป็นช่วงเวลาที่เราคงต้องนั่งคิดสักนิดว่าชีวิตที่ผ่านมาเราเคยให้ใครแบบหมดใจบางไหม หรือแค่เคยคิดจะให้ใครโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนบ้างไหม ถ้ายัง ก็ใช้โอกาสนี้มอบให้กันและกัน ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นคริสต์มาสครั้งสุดท้ายของชีวิตเราก็เป็นไปได้......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น