ปิดกายเปิดใจ
ในขณะที่โลกกำลังพยายามเร่งการเปลี่ยนผ่านเพื่อสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์
แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เร็วจนกระทั่งทั่วโลกรับมือแทบไม่ทันนั่นคือ
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า จากประเทศหนึ่งสู่ประเทศหนึ่ง แพร่กระจายไปจนขนาดที่ว่าแค่นั่งเขียนบทความนี้อยู่
ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาแทบทุกชั่วโมงจนไม่อาจจะระบุตัวเลขได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อ
COVID-19 และการแพร่ระบาดจะถูกค้นพบเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป รวมทั้งการเร่งผลิตยารักษาที่เริ่มมีความหวังชัดเจนขึ้นเรื่อย
ๆ อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกหลายปรากฏการณ์
โดยเฉพาะการพบผู้ป่วยเพิ่มเติมในประเทศยุโรปและตะวันออกกลาง
หลายคนบอกว่านี่คือการแพร่ระบาดของโรคที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเราเลยทีเดียว
เริ่มจากประเทศจีนที่มีการระบาดรุนแรงใช้มาตรการปิดเมืองเพื่อยับยั้งและควบคุมโรค
แต่เจ้าเชื้อไวรัสจอมซนเที่ยวหลบหลีกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ หลายประเทศจึงใช้วิธีการเดียวกันคือปิดเมือง
จนถึงเกือบปิดประเทศ จากการที่โลกติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างง่ายดาย มีสายการบินรับส่งคนเข้าออกเต็มน่านฟ้า
มาวันนี้เงียบเหงา สนามบินเหลือผู้โดยสารเพียงน้อยนิดชนิดว่าโลกทั้งโลกกำลังเข้าสู่โหมดอยู่กับเย้าเฝ้ากับประเทศ
บ้านเมืองใครบ้านเมืองเรา ส่งผลกระทบถึงการท่องเที่ยว โรงแรม บริษัทจัดทัวร์ การค้าการขาย
ร้านรวงไร้เงาผู้ซื้อ เป็นช่วงวิกฤตของสังคมโลกอย่างแท้จริง
หรือว่านี่เป็นสัญญาณบอกโลกว่าก้าวโตเร็วเกินไปแล้ว หยุดพักแล้วปิดเพื่อจะได้มีเวลาคิดใคร่ครวญ
มาทบทวนวิถีทางกันใหม่ จากที่เคยติดต่อสื่อสารกันเพื่อการค้าขายเปลี่ยนมาเป็นติดต่อเชื่อมกันเพื่อช่วยเหลือกัน
เป็นช่วงเวลาแห่งการเยี่ยวยาชีวิตของมวลมนุษย์ด้วยกัน
ในทุกวิกฤติในทุกเหตุการณ์ย่อมมีบทเรียนบทสอนให้เราเสมอ
บ่อยครั้งที่ชีวิตเราพลาดพลั้งไปเราจำต้องหยุด ต้องปิด ลด ละ เลิกบางอย่าง
เพื่อล้างจิตชำระใจ เพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเอง
ในวันข้างหน้าเมื่อพร้อมแล้วก็เปิดออกเพื่อถ่ายเทพลัง เพื่อให้ความหวัง จะได้เดินหน้าต่อไป
บางทีการปิดก็นำไปสู่การเปิดในครั้งต่อไปเสมอ ใช่หรือไม่
เมื่อเราออกจากบ้านเราเปิดเพื่อปิด และเปิดใหม่เมื่อเรากลับเข้ามา
ประตูจึงเป็นทางออกและทางเข้าและเป็นหนทางแห่งการปิดและการเปิดในที่เดียวกัน
การปิดเมืองปิดประเทศเพื่อชำระเพื่อจัดการกับโรคระบาดในครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยปลอดภัย การเปิดเมืองเปิดประเทศจะเริ่มต้นด้วยความสดใสและรอบคอบมากยิ่งขึ้น
ทำให้โลกมีความระมัดระวังในการพัฒนามากยิ่งขึ้น
มีการคัดกรองจัดการที่ดียิ่งขึ้นไปอีกและที่สำคัญจะทำให้เรา ๆ ท่าน ๆ
หันกลับมามองความสำคัญของการมีชีวิตที่งดงามมากขึ้นกว่าเดิม จะใช้เวลานานแค่ไหนไม่มีใครรู้
ครึ่งปีหรือเป็นปีก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือกันของสังคมโลก
ในด้านส่วนตัวเราก็ต้องรู้จักที่จะปกปิด ใช้หน้ากากอนามัย
ปิดปากปิดจมูก ล้างมือ รักษาความสะอาด และหมั่นใส่ใจต่อสุขภาพ
ร่างกายที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว จากที่เคยตามใจปากกินนั่นนี่อย่างไม่ระมัดระวัง
ปากที่เคยกล่าวร้ายถึงคนอื่น การนินทา จากที่เราเคยใช้ปากทำร้ายคนอื่น
จากที่ใช้ปากเพื่อยกย่องตัวเอง วันนี้เราต้องปิดปากลง ทำให้ต้องระมัดระวังในการพูดคุยกับคนอื่น
อยู่กับตัวเองมากขึ้น อยู่ในบ้านให้ความสำคัญกับครอบครัวดูแลกันและกันมากขึ้น
ไม่ต้องออกไปไขว่คว้าแสวงหาอย่างบ้าคลั่ง จากที่มองเห็นแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
ต้องกลับมาดูแลสุขภาพร่างกาย
เพราะเอาเข้าจริงวันที่เจ็บป่วยต่อให้มีเงินทองกองตรงหน้าเพื่อแลกกับชีวิต
ทุกคนก็ปรารถนาอยากจะมีชีวิต และเห็นความสำคัญของชีวิตมากกว่า
หันกลับมามองดูชีวิตแห่งความเชื่อของเรากันบ้าง
เราก้าวสู่เทศกาลมหาพรตกันอีกปีหนึ่ง เป็นช่วงที่เราปิด ลด ละ เลิกความเป็นตัวเอง
เพื่อที่จะเปิด เพื่อที่จะแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ปิดเพื่อเปิด
ออกจากตัวเองเพื่อสู่คนอื่น มิใช่ปิดเพื่อตัวเอง มิใช่เป็นการปิดแบบไม่ต้อนรับผู้อื่น
หากแต่เป็นการปิดความเห็นแก่ตัว ความอวดดีอวดเก่ง ความสุขส่วนตัว
ปิดการหาความสบายฝ่ายกาย เพื่อจะได้มีพื้นที่ทางจิตทางใจให้กับเพื่อนพี่น้องคนรอบข้าง
เพื่อจะได้มีเวลาสำรวจตรวจสอบตัวเอง เพื่อจะได้มีห้วงแห่งการไต่ตรองและวิเคราะห์ตัวเอง
นำไปสู่การรู้จักวิเคราะห์สังเคราะห์ในทุกเหตุการณ์ของชีวิต ในการติดต่อ ในความสัมพันธ์กับผู้คน
เราจะได้เข้าจิตเข้าใจผู้คนมากยิ่งขึ้น จะได้ลดทิฐิ ลดอคติ
เพิ่มทัศนคติที่ดีต่อคนรอบข้าง หากเรามีจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นเราก็จะมองโลก มองคนในด้านงดงามมากยิ่งขึ้น
อาจจะเห็นคนที่โอ้อวดความเก่งกาจ กลายเป็นรู้สึกสงสารและเห็นใจมากกว่ารู้สึกหงุดหงิดหมั่นไส้
เห็นคนมาแสดงความหยิ่งผยอง สนองความใหญ่โต เราก็ใช้การนิ่ง ความอ่อนโยน เพื่อชโลมให้จิตใจคนเหล่านั้นอ่อนลงบ้าง
เราปิดความโกรธ ความโมโห ปิดอคติให้เป็น เพื่อที่เราจะได้เปิดใจของเราและผู้อื่น
40 วันไม่ใช่การกักขังตัวเอง
แต่เป็นการกักขังและกำจัดตัวตนเพื่อให้สามารถเปิดรับการมีหนทางชีวิตแบบใหม่ที่เป็นชีวิตของการช่วยเหลือ แบ่งปัน
ไม่เบียดเบียนกัน สิ่งนี้น่าจะแพร่ขยายออกไป เพื่อช่วยให้ไวรัสร้ายได้ลดหายไปกลายเป็นเชื้อดีแทน
ในวันข้างหน้าท้องฟ้าย่อมมีวันสดใสเสมอ ภาวนาให้แก่กันและกัน
ภาวนาให้กับโลกที่กำลังเผชิญกับโรคร้าย
แล้วเราจะได้สังคมที่เปิดออกต้อนรับวันใหม่วันแห่งสันติสุขไปด้วยกัน นั่นคือปัสกาของปีนี้
ปีที่แสนยากลำบากจริง ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น