รู้สึก...
เคยสังเกตเวลาที่เราเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมา
จะมีคำหนึ่งปรากฏมาให้เห็น นั่นคือ “คุณกำลังคิดอะไรอยู่”
เพื่อให้เราแสดงความรู้สึก
จากความรู้สึกภายในของเราก็จะกลายเป็นสิ่งสาธารณะให้ผู้คนได้รับรู้ในทันที และหลายครั้งหลายคนที่กำลังรู้สึกในด้านลบอยู่
กำลังโมโห โกรธ เกลียด ถูกทำร้าย ถูกกดดัน
จึงผลักดันความต่ำต้อยนี้ออกมาเป็นตัวอักษร บ่อยครั้งมิได้ผ่านการคิดอย่างรอบด้าน
มีด้านเดียวคือด้านตรงหน้าที่ต้องระบายออก
เราจึงมักรับรู้ความรู้สึกด้านไม่งามผ่านทางสื่อใหม่นี้อยู่เสมอ
จนกลายเป็นความชินชา จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา หรือกลายเป็นเรื่องของใครของเขาไปเสีย
สะสมจนกลายเป็นนิสัยสาธารณะ
จากจุดตรงนี้เอง
ทำให้เราเข้าใจหลายเรื่องในเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
สร้างความเจ็บปวดเศร้าสุดแสนจะบรรยาย ที่เราเห็นความสูญเสียของชีวิตผู้คนผู้บริสุทธิ์ไป
เราเสพสื่ออ่านสื่อจนสื่อคือชีวิต เราจึงเห็นสื่อกลายเป็นตลาดขายข่าว
เราจึงเห็นการแย่งลูกค้าแบบที่เป็นอยู่ เพราะใช่หรือไม่
เราเองก็ต้องการรู้เรื่องชาวบ้าน เราเองก็อยากเห็นเป็นอันดับต้น ๆ จะได้ไม่เป็นคนตกข่าว
เราเองก็ต้องการความเร็ว สื่อจึงเกิดมากขึ้นตามยุคสมัย มีทั้งสื่อหลัก สื่อรอง
สื่อออนไลน์ สื่อส่วนตัว เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของการรายงานเหตุการณ์ เพื่อให้มีส่วนร่วมหรือเพื่อขายข่าว
ยิ่งมีคนอยากรู้อยากเห็นยิ่งขายได้ จนหลงลืมความรอบคอบไป
แน่หล่ะ...นี่คือหน้าที่ของนักข่าวที่ช่วยสังคม แต่ต้องไม่ลืมไม่หลงเอาความตื่นเต้นมาไว้บนหน้าอย่างมิได้มีการคิดใคร่ครวญ
และก็มักจะหยิบเอาคำถามผู้คนว่า “รู้สึกอย่างไร” ทั้ง ๆ
ที่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องถาม
แต่ถ้าจะถามเพื่อข้อมูลแล้วมารวบรวมตามความเป็นจริง กลั่นกรอง ให้เวลาเพิ่มสักนิด
คิดถึงผู้อื่นมากขึ้นสักหน่อย แล้วจึงค่อยรายงานออกมา เราก็จะมีส่วนสร้างความดีงามมากกว่าความร้ายเหลืออย่างเช่นทุกวันนี้
หลายสื่อหลายสำนักซึ่งส่วนมากทำได้ดีทีเดียว มีบ้างส่วนน้อยก็ต้องช่วยกันระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น
ถือว่าเป็นการบูรณาการเพื่อรองรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ในความคิดเห็นส่วนตัว
สิ่งที่เราต้องเริ่มตระหนักให้มากขึ้น เรารู้สึกเช่นไร
เราต้องคิดไตร่ตรองลองเช็คความรู้สึกของเราในสิ่งที่เราพูด
ในสิ่งที่เราจะบอกกล่าวกับคนอื่นก่อนว่า ถ้าได้ยินคำนี้ ได้อ่านประโยคนี้ เราจะรู้สึกดีไหม
ถ้าเราเป็นคนนั้นที่เจอกับคำถามนี้เราจะเจ็บปวดจนบอกไม่ถูกหรือเปล่า ให้พระจิตในตัวเรานำทาง
ปลุกมโนธรรมของเราก่อน แล้วจึงบอกกล่าวเล่าความให้ผู้คนได้รับรู้ ถ้าเราฝึกขบวนการพินิจพิเคราะห์ให้เป็น
เราจะได้อยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
อันไหนที่สร้างแรงสะเทือนใจเกินไปก็ช่วยกันหลีกเลี่ยง ไม่จำเป็นต้องให้ชีวิตติดตามในทุกเหตุการณ์ตลอดเวลา
ให้เวลากับการที่มีชีวิตที่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ บ้าง ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ต้องแอคทีฟตลอดเวลา
พักจิตพักใจ เพื่อมีเวลาอยู่กับความงาม ใกล้ชิดกับสิ่งสร้างที่แสนสวยงาม
มีเวลาอยู่กับคนรอบข้างอย่างจริง ๆ จัง ๆ มิใช่มีแค่ช่วงเวลาหายใจร่วมกัน แต่แล้วใจนั้นล่องลอยไปกับสื่อที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของชาวโลกเต็มหน้าจอ
ในยุคที่เรากำลังถูกเทคโนโลยีครองเมือง
ถูกไอทีชี้นำวิถีชีวิต ศาสนาดั้งเดิมเป็นเพียงสิ่งเคยชิน ระบบการศึกษาค้นคว้าแสวงหาจากนอกห้องเรียน
การอุปถัมภ์ค้ำจุนที่ต่างตอบแทนกลายเป็นบุญคุณที่ไร้แก่นสาร สังคมกำลังถูกคลื่นไอทีกระแทกแทรกซึมเข้ามาจนทำให้หลายองค์กรเสียหลัก
ตั้งตัวไม่ติด ยิ่งไม่เริ่มก้าวยิ่งถอยห่างจากความเป็นจริง ยิ่งไม่ปรับตัวเรายิ่งเจ็บปวด
เราอยู่ในโลกเราต้องก้าวไปกับโลกแต่ต้องไม่หลงไปกับกระแสโลก
การปรับตัวด้วยการนำสิ่งดีงามมาประยุกต์ใช้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ ใช้วิธีการใหม่
ๆ กับความดีงามอันเป็นนิรันดร์ต้องถูกนำมาใช้อย่างถูกกาละเทศะ ความเชื่อความศรัทธาต้องมั่นคง
และส่งเสริมให้มีความรู้สึกที่ดีรับผิดชอบทางสังคมให้มากขึ้น
ใช้ความรู้สึกของเราเพื่อสัมผัสความรู้สึกของคนอื่นให้เป็น สร้างความร่มเย็นแก่กัน
อย่ากดดันด้วยคำพูด ด้วยการดูถูกหยามเหยียด
อย่าเบียดเบียนกันด้วยความอวดเบ่งอวดเก่ง อย่าผลักดันให้คนอื่นเดินตามทางของตัวเรา
การสร้างอาณาจักรสวรรค์ในแผ่นดินเริ่มจากการดูแลความรู้สึกซึ่งกันและกัน
มิใช่แค่เพียงถามว่ารู้สึกอย่างไร!!! เราต้องเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนอื่นนั้นอย่างจริงจังด้วย
หากว่าสื่อแล้ว พูดแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็ควรหลีกออกมาตั้งสติ คิดไตร่ตรอง
บางทีอาจจะเห็นว่า ณ ตรงนั้นเราควรยืนอยู่แค่ตรงไหน อย่าคิดว่าเราสำคัญสุด หยุดหาตัวตน
ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทในทุกกรณี ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่เหมาะ
คนเราไม่ได้ชำนาญไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เหมือนอย่างที่ศาสนาไอทีชี้นำเสมอไป
เรายังจำเป็นต้องพึ่งพากัน และบางครั้งในวันที่รู้สึกต้องการใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ
ในวันที่เหนื่อยและล้าแล้วมีคนนั้นเข้าใจความรู้สึกเรา
โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นมากเลยทีเดียว
ในวันที่เราผ่านเหตุการณ์ร้าย
ๆ มาด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องย้ำเตือนตัวเองให้มากและบ่อย ๆ ว่า “อย่าเอาความรู้สึกคนอื่นมาแค่บอกผ่าน
แต่เราต้องเอาความรู้สึกของเราเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนอื่นให้มากขึ้น” ใช้ไอทีมาแบ่งปันความดี
ใช้เทคโนโลยีชี้นำคำสอน ใช้ความรู้สึกสร้างความรัก ใช้ความเมตตาลดแรงกดดัน เพื่อให้เกิดสวนสวรรค์ในพื้นที่ที่เราก้าวเดิน
“จิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง
คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น