วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

รู้สึก...

รู้สึก...
เคยสังเกตเวลาที่เราเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมา จะมีคำหนึ่งปรากฏมาให้เห็น นั่นคือ “คุณกำลังคิดอะไรอยู่” เพื่อให้เราแสดงความรู้สึก จากความรู้สึกภายในของเราก็จะกลายเป็นสิ่งสาธารณะให้ผู้คนได้รับรู้ในทันที และหลายครั้งหลายคนที่กำลังรู้สึกในด้านลบอยู่ กำลังโมโห โกรธ เกลียด ถูกทำร้าย ถูกกดดัน จึงผลักดันความต่ำต้อยนี้ออกมาเป็นตัวอักษร บ่อยครั้งมิได้ผ่านการคิดอย่างรอบด้าน มีด้านเดียวคือด้านตรงหน้าที่ต้องระบายออก เราจึงมักรับรู้ความรู้สึกด้านไม่งามผ่านทางสื่อใหม่นี้อยู่เสมอ จนกลายเป็นความชินชา จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา หรือกลายเป็นเรื่องของใครของเขาไปเสีย สะสมจนกลายเป็นนิสัยสาธารณะ

จากจุดตรงนี้เอง ทำให้เราเข้าใจหลายเรื่องในเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความเจ็บปวดเศร้าสุดแสนจะบรรยาย ที่เราเห็นความสูญเสียของชีวิตผู้คนผู้บริสุทธิ์ไป เราเสพสื่ออ่านสื่อจนสื่อคือชีวิต เราจึงเห็นสื่อกลายเป็นตลาดขายข่าว เราจึงเห็นการแย่งลูกค้าแบบที่เป็นอยู่ เพราะใช่หรือไม่ เราเองก็ต้องการรู้เรื่องชาวบ้าน เราเองก็อยากเห็นเป็นอันดับต้น ๆ จะได้ไม่เป็นคนตกข่าว เราเองก็ต้องการความเร็ว สื่อจึงเกิดมากขึ้นตามยุคสมัย มีทั้งสื่อหลัก สื่อรอง สื่อออนไลน์ สื่อส่วนตัว เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของการรายงานเหตุการณ์ เพื่อให้มีส่วนร่วมหรือเพื่อขายข่าว ยิ่งมีคนอยากรู้อยากเห็นยิ่งขายได้ จนหลงลืมความรอบคอบไป แน่หล่ะ...นี่คือหน้าที่ของนักข่าวที่ช่วยสังคม แต่ต้องไม่ลืมไม่หลงเอาความตื่นเต้นมาไว้บนหน้าอย่างมิได้มีการคิดใคร่ครวญ และก็มักจะหยิบเอาคำถามผู้คนว่า “รู้สึกอย่างไร” ทั้ง ๆ ที่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ถ้าจะถามเพื่อข้อมูลแล้วมารวบรวมตามความเป็นจริง กลั่นกรอง ให้เวลาเพิ่มสักนิด คิดถึงผู้อื่นมากขึ้นสักหน่อย แล้วจึงค่อยรายงานออกมา เราก็จะมีส่วนสร้างความดีงามมากกว่าความร้ายเหลืออย่างเช่นทุกวันนี้ หลายสื่อหลายสำนักซึ่งส่วนมากทำได้ดีทีเดียว มีบ้างส่วนน้อยก็ต้องช่วยกันระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ถือว่าเป็นการบูรณาการเพื่อรองรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป


ในความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งที่เราต้องเริ่มตระหนักให้มากขึ้น เรารู้สึกเช่นไร เราต้องคิดไตร่ตรองลองเช็คความรู้สึกของเราในสิ่งที่เราพูด ในสิ่งที่เราจะบอกกล่าวกับคนอื่นก่อนว่า ถ้าได้ยินคำนี้ ได้อ่านประโยคนี้ เราจะรู้สึกดีไหม ถ้าเราเป็นคนนั้นที่เจอกับคำถามนี้เราจะเจ็บปวดจนบอกไม่ถูกหรือเปล่า ให้พระจิตในตัวเรานำทาง ปลุกมโนธรรมของเราก่อน แล้วจึงบอกกล่าวเล่าความให้ผู้คนได้รับรู้ ถ้าเราฝึกขบวนการพินิจพิเคราะห์ให้เป็น เราจะได้อยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านอย่างมีคุณภาพมากขึ้น อันไหนที่สร้างแรงสะเทือนใจเกินไปก็ช่วยกันหลีกเลี่ยง ไม่จำเป็นต้องให้ชีวิตติดตามในทุกเหตุการณ์ตลอดเวลา ให้เวลากับการที่มีชีวิตที่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ บ้าง ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ต้องแอคทีฟตลอดเวลา พักจิตพักใจ เพื่อมีเวลาอยู่กับความงาม ใกล้ชิดกับสิ่งสร้างที่แสนสวยงาม มีเวลาอยู่กับคนรอบข้างอย่างจริง ๆ จัง ๆ มิใช่มีแค่ช่วงเวลาหายใจร่วมกัน แต่แล้วใจนั้นล่องลอยไปกับสื่อที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของชาวโลกเต็มหน้าจอ

ในยุคที่เรากำลังถูกเทคโนโลยีครองเมือง ถูกไอทีชี้นำวิถีชีวิต ศาสนาดั้งเดิมเป็นเพียงสิ่งเคยชิน ระบบการศึกษาค้นคว้าแสวงหาจากนอกห้องเรียน การอุปถัมภ์ค้ำจุนที่ต่างตอบแทนกลายเป็นบุญคุณที่ไร้แก่นสาร สังคมกำลังถูกคลื่นไอทีกระแทกแทรกซึมเข้ามาจนทำให้หลายองค์กรเสียหลัก ตั้งตัวไม่ติด ยิ่งไม่เริ่มก้าวยิ่งถอยห่างจากความเป็นจริง ยิ่งไม่ปรับตัวเรายิ่งเจ็บปวด เราอยู่ในโลกเราต้องก้าวไปกับโลกแต่ต้องไม่หลงไปกับกระแสโลก การปรับตัวด้วยการนำสิ่งดีงามมาประยุกต์ใช้จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ ใช้วิธีการใหม่ ๆ กับความดีงามอันเป็นนิรันดร์ต้องถูกนำมาใช้อย่างถูกกาละเทศะ ความเชื่อความศรัทธาต้องมั่นคง และส่งเสริมให้มีความรู้สึกที่ดีรับผิดชอบทางสังคมให้มากขึ้น ใช้ความรู้สึกของเราเพื่อสัมผัสความรู้สึกของคนอื่นให้เป็น สร้างความร่มเย็นแก่กัน อย่ากดดันด้วยคำพูด ด้วยการดูถูกหยามเหยียด อย่าเบียดเบียนกันด้วยความอวดเบ่งอวดเก่ง อย่าผลักดันให้คนอื่นเดินตามทางของตัวเรา การสร้างอาณาจักรสวรรค์ในแผ่นดินเริ่มจากการดูแลความรู้สึกซึ่งกันและกัน มิใช่แค่เพียงถามว่ารู้สึกอย่างไร!!! เราต้องเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนอื่นนั้นอย่างจริงจังด้วย หากว่าสื่อแล้ว พูดแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็ควรหลีกออกมาตั้งสติ คิดไตร่ตรอง บางทีอาจจะเห็นว่า ณ ตรงนั้นเราควรยืนอยู่แค่ตรงไหน อย่าคิดว่าเราสำคัญสุด หยุดหาตัวตน ไม่จำเป็นต้องมีบทบาทในทุกกรณี ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นถ้าเรารู้ตัวว่าเราไม่เหมาะ คนเราไม่ได้ชำนาญไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เหมือนอย่างที่ศาสนาไอทีชี้นำเสมอไป เรายังจำเป็นต้องพึ่งพากัน และบางครั้งในวันที่รู้สึกต้องการใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เหนื่อยและล้าแล้วมีคนนั้นเข้าใจความรู้สึกเรา โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นมากเลยทีเดียว
ในวันที่เราผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องย้ำเตือนตัวเองให้มากและบ่อย ๆ ว่า “อย่าเอาความรู้สึกคนอื่นมาแค่บอกผ่าน แต่เราต้องเอาความรู้สึกของเราเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของคนอื่นให้มากขึ้น” ใช้ไอทีมาแบ่งปันความดี ใช้เทคโนโลยีชี้นำคำสอน ใช้ความรู้สึกสร้างความรัก ใช้ความเมตตาลดแรงกดดัน เพื่อให้เกิดสวนสวรรค์ในพื้นที่ที่เราก้าวเดิน “จิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์”

ไม่มีความคิดเห็น: