ฝากไว้กับคนอื่น
ผ่านไปเดือนกว่า ๆ
สังคมโลกตื่นตระหนกตกอยู่กับความหวาดกลัว ทั้งเรื่องโรคระบาด สงคราม เศรษฐกิจซบเซาทำเอาหลายคนตกงานอย่างปัจจุบันทันด่วน
หลายคนยืนงงในดงของการเปลี่ยนผ่าน จนทำตัวไปไม่ถูก จากเคยสุขสบายคิดว่ามั่นคง
มีกินมีจับจ่ายใช้สอย
หลายคนไม่เคยคิดที่จะวางแผนและตั้งรับการเปลี่ยนครั้งใหญ่เหล่านี้ไว้ล่วงหน้า
ไม่มีการรองรับหากเกิดการเปลี่ยนแปลง ฝากชีวิตทั้งหมดไว้กับคนอื่น
ฝากความหวังไว้กับเงินทอง ยามเมื่อต้องยืนเดี่ยว เหลียวหาใครไม่มี
จึงจัดการกับหนทางชีวิตแบบงง ๆ ไปไม่เป็น
หากเราได้เรียนรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนครั้งนี้
ในระดับมหภาค สังคมที่มีผู้คนเป็นจำนวนมาก การจัดการอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบเด็ดขาด
ไม่ฝากความหวังไว้กับใคร ใช้วิธีปิดเมือง ปิดประเทศ
ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส อาจจะทุกข์ยากมากในช่วงแรก
แต่สิ่งนี้คือการสะสมพลัง สะสมความเข้มแข็งเพื่อก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่ง
สร้างภูมิให้กับตัวเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่นมากไปนัก มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะก้าวข้ามผ่านไปด้วยกันอย่างมั่นคง
เราเห็นการสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในช่วงเวลาไม่ถึง 10 วัน
เราเห็นการเสียสละของเหล่าแพทย์คนจีนที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
ไม่รอคอยความช่วยเหลือจากประเทศอื่น หรือหากประเทศใดจะช่วย ก็พร้อมน้อมรับเฉพาะในสิ่งที่จำเป็น
แล้วเราลองหันกลับมาพิจารณาตัวเราแต่ละคนกันบ้าง
เราผ่านวันเวลา ผ่านการเปลี่ยนแปลง ผ่านผู้คนมามากน้อยแตกต่างกัน
หลายครั้งบางช่วงเวลาชีวิตเราก็ฝากไว้กับคนอื่นมากเกินความจำเป็น
จนบ่อยครั้งเมื่อเกิดเรื่องราวความทุกข์เข้ามาก็ทำอะไรเองไม่ได้ เหมือนกับบทความบทนี้ที่นำมาแบ่งปัน
บทความที่ชื่อว่า “กุญแจแห่งความสุข”
แม่บ้านคนหนึ่งกล่าวว่า
“ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตครอบครัวเลย
เพราะสามีของฉันมักไปประชุมต่างจังหวัดอยู่เสมอ!”
เธอนำกุญแจแห่งความสุขของตัวเองฝากไว้ในมือของสามี
คุณแม่คนหนึ่งกล่าวว่า
“ลูก ๆ ของฉันดื้อมาก
พวกเขามักทำให้ฉันโมโหอยู่เสมอ” เธอฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือลูก ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า
“เจ้านายไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา
ผมจึงไม่เคยได้แสดงความสามารถ” เขาฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือเจ้านาย
แม่สามีกล่าวว่า
“ลูกสะใภ้ของฉันไม่กตัญญู
ฉันช่างโชคร้ายเหลือเกิน” นางฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือลูกสะใภ้
เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินออกจากร้านกาแฟหรูแล้วตะโกนออกมาว่า
“แย่ ๆ บริกรร้านนี้นิสัยแย่มาก
ฉันจะไม่มาเหยียบร้านนี้อีกเลย” เขาฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือบริกร
พวกเขา ทำในสิ่งที่เหมือนกัน
นั่นก็คือ ฝากกุญแจแห่งความสุขของตนไว้กับมือของคนอื่น! เมื่อใดที่เรายอมให้คนอื่นควบคุมอารมณ์ของเรา
เราจึงมักรู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกทำร้ายอยู่เสมอ และเวลานั้น
สิ่งที่เราเลือกก็คือโมโหและโกรธแค้น เราเริ่มโทษพวกเขา และป่าวประกาศกับใคร ๆ
ที่พบเจอว่า “ที่ฉันเป็นอย่างนี้ เพราะพวกเธอเป็นคนทำ พวกเธอต้องรับผิดชอบ!”
เราจึงผลักโทษมหันต์เหล่านี้ไปที่คนอื่น (เพจ : นุสนธิ์บุคส์)
เราต้องเป็นคนสร้างสะสมพลังแห่งความสุขของตน
ไม่เฝ้ารอความสุขจากคนอื่น เพราะเรายิ่งรอ เรายิ่งหวัง
และเมื่อผิดหวังเราจะยิ่งทุกข์หนักขึ้น ในทางกลับกัน เรายังจำต้องเป็นผู้หยิบยื่นความสุขที่มีให้กับคนรอบข้างเราด้วย
รู้จักปันสุข เพื่อให้มวลความสุขขยายใหญ่ขึ้น อย่าปล่อยให้สภาพแวดล้อม สิ่งของ
ผู้คน คำพูดหรือการกระทำใด ๆ ของคนอื่นคอยฉุดรั้งความสุขไปจากเรา ที่มาของความสุขนั้น
เกิดจากตัวเราเอง หาใช่ใครอื่น! ความทุกข์เป็นของคนอื่นอย่าได้นำมาใส่ตัวเรา
แต่เราต้องคอยช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นทางทุกข์
ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเมื่อเรามีความสุขเรามักจะหลงลืมคนอื่น
เราต้องนำความสุขนั้นไปยังผู้อื่น ถ่ายเทพลังความสุขนั้นให้กันและกัน โดยไม่ฝากความสุขไว้กับคนอื่น
เราเป็นเกลือเป็นแสงสว่างที่จะต้องนำความมั่นคง
นำพาให้ผู้คนพบกับความสุขที่แท้จริงไปพร้อม ๆ กัน อย่าทำตัวให้คนอื่นคาดหวังจากเราฝ่ายเดียว
และเช่นกัน ต้องไม่ไปฝากความหวังทั้งหมดกับคนอื่น ทำตามหน้าที่
ทำในสิ่งที่เราชำนาญด้วยความรัก ทำความดีด้วยความไม่อวดดีไม่ดูถูกดูแคลนกัน
แล้วเราจะผ่านวันเวลาที่มีทั้งทุกข์และสุขอย่างเปรมปรีดิ์ตลอดไป
เป็นแสงส่องทางโดยไม่ต้องชี้ทาง เป็นเกลือดองโดยไม่ใส่ความบูดเน่าลงไป
สังคมในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ สร้างความสุขปัจจุบัน
สร้างความงามในวันนี้ สร้างความดีให้พร้อมพรัก สร้างความรักให้มั่นคง เพียงเท่านี้ชีวิตเราจะพบกับสันติสุขในทุกช่วงเวลานาที...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น