วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ฝากไว้กับคนอื่น


ฝากไว้กับคนอื่น
ผ่านไปเดือนกว่า ๆ สังคมโลกตื่นตระหนกตกอยู่กับความหวาดกลัว ทั้งเรื่องโรคระบาด สงคราม เศรษฐกิจซบเซาทำเอาหลายคนตกงานอย่างปัจจุบันทันด่วน หลายคนยืนงงในดงของการเปลี่ยนผ่าน จนทำตัวไปไม่ถูก จากเคยสุขสบายคิดว่ามั่นคง มีกินมีจับจ่ายใช้สอย หลายคนไม่เคยคิดที่จะวางแผนและตั้งรับการเปลี่ยนครั้งใหญ่เหล่านี้ไว้ล่วงหน้า ไม่มีการรองรับหากเกิดการเปลี่ยนแปลง ฝากชีวิตทั้งหมดไว้กับคนอื่น ฝากความหวังไว้กับเงินทอง ยามเมื่อต้องยืนเดี่ยว เหลียวหาใครไม่มี จึงจัดการกับหนทางชีวิตแบบงง ๆ ไปไม่เป็น

หากเราได้เรียนรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนครั้งนี้ ในระดับมหภาค สังคมที่มีผู้คนเป็นจำนวนมาก การจัดการอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบเด็ดขาด ไม่ฝากความหวังไว้กับใคร ใช้วิธีปิดเมือง ปิดประเทศ ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส อาจจะทุกข์ยากมากในช่วงแรก แต่สิ่งนี้คือการสะสมพลัง สะสมความเข้มแข็งเพื่อก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่ง สร้างภูมิให้กับตัวเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่นมากไปนัก มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะก้าวข้ามผ่านไปด้วยกันอย่างมั่นคง เราเห็นการสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในช่วงเวลาไม่ถึง 10 วัน เราเห็นการเสียสละของเหล่าแพทย์คนจีนที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่รอคอยความช่วยเหลือจากประเทศอื่น หรือหากประเทศใดจะช่วย ก็พร้อมน้อมรับเฉพาะในสิ่งที่จำเป็น
แล้วเราลองหันกลับมาพิจารณาตัวเราแต่ละคนกันบ้าง เราผ่านวันเวลา ผ่านการเปลี่ยนแปลง ผ่านผู้คนมามากน้อยแตกต่างกัน หลายครั้งบางช่วงเวลาชีวิตเราก็ฝากไว้กับคนอื่นมากเกินความจำเป็น จนบ่อยครั้งเมื่อเกิดเรื่องราวความทุกข์เข้ามาก็ทำอะไรเองไม่ได้ เหมือนกับบทความบทนี้ที่นำมาแบ่งปัน บทความที่ชื่อว่า “กุญแจแห่งความสุข”
แม่บ้านคนหนึ่งกล่าวว่า
“ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตครอบครัวเลย เพราะสามีของฉันมักไปประชุมต่างจังหวัดอยู่เสมอ!” เธอนำกุญแจแห่งความสุขของตัวเองฝากไว้ในมือของสามี
คุณแม่คนหนึ่งกล่าวว่า
“ลูก ๆ ของฉันดื้อมาก พวกเขามักทำให้ฉันโมโหอยู่เสมอ” เธอฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือลูก ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า
“เจ้านายไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา ผมจึงไม่เคยได้แสดงความสามารถ” เขาฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือเจ้านาย
แม่สามีกล่าวว่า
            “ลูกสะใภ้ของฉันไม่กตัญญู ฉันช่างโชคร้ายเหลือเกิน” นางฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือลูกสะใภ้
เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินออกจากร้านกาแฟหรูแล้วตะโกนออกมาว่า
“แย่ ๆ บริกรร้านนี้นิสัยแย่มาก ฉันจะไม่มาเหยียบร้านนี้อีกเลย” เขาฝากกุญแจแห่งความสุขไว้ในมือบริกร
พวกเขา ทำในสิ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ ฝากกุญแจแห่งความสุขของตนไว้กับมือของคนอื่น! เมื่อใดที่เรายอมให้คนอื่นควบคุมอารมณ์ของเรา เราจึงมักรู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกทำร้ายอยู่เสมอ และเวลานั้น สิ่งที่เราเลือกก็คือโมโหและโกรธแค้น เราเริ่มโทษพวกเขา และป่าวประกาศกับใคร ๆ ที่พบเจอว่า “ที่ฉันเป็นอย่างนี้ เพราะพวกเธอเป็นคนทำ พวกเธอต้องรับผิดชอบ!” เราจึงผลักโทษมหันต์เหล่านี้ไปที่คนอื่น (เพจ : นุสนธิ์บุคส์)



เราต้องเป็นคนสร้างสะสมพลังแห่งความสุขของตน ไม่เฝ้ารอความสุขจากคนอื่น เพราะเรายิ่งรอ เรายิ่งหวัง และเมื่อผิดหวังเราจะยิ่งทุกข์หนักขึ้น ในทางกลับกัน เรายังจำต้องเป็นผู้หยิบยื่นความสุขที่มีให้กับคนรอบข้างเราด้วย รู้จักปันสุข เพื่อให้มวลความสุขขยายใหญ่ขึ้น อย่าปล่อยให้สภาพแวดล้อม สิ่งของ ผู้คน คำพูดหรือการกระทำใด ๆ ของคนอื่นคอยฉุดรั้งความสุขไปจากเรา ที่มาของความสุขนั้น เกิดจากตัวเราเอง หาใช่ใครอื่น! ความทุกข์เป็นของคนอื่นอย่าได้นำมาใส่ตัวเรา แต่เราต้องคอยช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นทางทุกข์   
ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเมื่อเรามีความสุขเรามักจะหลงลืมคนอื่น เราต้องนำความสุขนั้นไปยังผู้อื่น ถ่ายเทพลังความสุขนั้นให้กันและกัน โดยไม่ฝากความสุขไว้กับคนอื่น เราเป็นเกลือเป็นแสงสว่างที่จะต้องนำความมั่นคง นำพาให้ผู้คนพบกับความสุขที่แท้จริงไปพร้อม ๆ กัน อย่าทำตัวให้คนอื่นคาดหวังจากเราฝ่ายเดียว และเช่นกัน ต้องไม่ไปฝากความหวังทั้งหมดกับคนอื่น ทำตามหน้าที่ ทำในสิ่งที่เราชำนาญด้วยความรัก  ทำความดีด้วยความไม่อวดดีไม่ดูถูกดูแคลนกัน แล้วเราจะผ่านวันเวลาที่มีทั้งทุกข์และสุขอย่างเปรมปรีดิ์ตลอดไป เป็นแสงส่องทางโดยไม่ต้องชี้ทาง เป็นเกลือดองโดยไม่ใส่ความบูดเน่าลงไป สังคมในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ สร้างความสุขปัจจุบัน สร้างความงามในวันนี้ สร้างความดีให้พร้อมพรัก สร้างความรักให้มั่นคง เพียงเท่านี้ชีวิตเราจะพบกับสันติสุขในทุกช่วงเวลานาที...

ไม่มีความคิดเห็น: