วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ป้าย…สี


ป้ายสี
        ฤดูกาลเลือกตั้งเริ่มต้นได้เพียงไม่กี่วัน ป้ายหาเสียงของบรรดาผู้สมัครก็พรึบพรับเต็มสองข้างทาง ล้นริมถนน ทางเท้า ตามเสาไฟฟ้า หน้าตรอก หน้าซอย จนแทบจะไม่มีที่เว้นว่าง คนอาสาเข้ามารับใช้ประชาชนมีเยอะจริงๆ จนน่าชื่นใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกท่านๆทั้งหลายเหล่านั้นมีจิตอาสากันจริงๆจังๆกันมากน้อยเพียงใด หรือใช้เป็นเพียงแค่การประกอบอาชีพ หรือเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่ง ยศ ตำแหน่ง หรือเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับเราๆท่านๆขอให้เลือกผู้แทนของเราด้วยจิตบริสุทธิ์ เผื่อว่าเราจะได้คนที่อาสามารับใช้ ยกมือไหว้ นบน้อมตลอดไป
            เมื่อเห็นป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ก็อดที่จะคิดถึงคำหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ป้ายสี ทำไมหน่ะหรือ!!!!ก็นอกจากป้ายที่ต่างคิดสร้างสีสันขยันสร้างคำโปรย เพื่อโกยคะแนนแล้ว นับจากเวลานี้ เราก็จะได้ยินคำพูดที่เอาแต่ดี ป้ายสีให้ผู้อื่น เพื่อจะได้ดูดี มีแต่คำพูดโก้หรู ความอดสูไม่พูดถึง หลายคนเริ่มละเลงสีใส่ผู้อื่นออกสื่อ เพื่อให้เกิดความสะใจ เพื่อให้เกิดกระแส เข้าสู่กลยุทธการตลาด(สด) ความจริงถูกปกปิดความผิดของผู้อื่นพร้อมเป็นผู้เปิด จุดประเด็นที่แฝงเร้นด้วยเล่ห์กลมายา แล้วถึงเวลาจากที่เคยป้ายสีใส่กันจนเลอะเทอะ ก็หันหน้ามาใส่สีขาวบริสุทธิ์ ทำใสซื่อต่อกัน ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นเห็นจนชินตา หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรมทางสังคมไปแล้ว มันซึมลึกลงไปอยู่ในเส้นเลือดใหญ่ ทำให้มีผู้คนไม่น้อยคอยทำตาม ....
            ใช่หรือไม่ การใส่ร้ายป้ายสีมีอยู่ในทุกสังคม บางคนทำดีเท่าไร ทำแทบตายก็โดนหยามใส่ป้ายให้เสียคน ใส่ร้ายป้ายสีเล่นกันถึงตายก็มีไม่น้อย ป้ายสีใส่ความเท็จ ทำให้วอดวาย มลายหายไปจากสังคม แล้วขึ้นข่มขึ้นครองความเป็นใหญ่ ทำอย่างกับเป็นเด็กศิลป์ที่มีกระป๋องสีและพู่กันติดตัวเป็นอาจิณ ใครแส่เสนอหน้าท้าลองด้วยความดี สีในกระป๋องพร้อมจะพุ่งใส่ หรือว่าเราคิดมากไปมันอาจจะเป็นศิลปะการเอาตัวรอดก็ได้ ...
            ในสังคมมีคนไม่น้อยที่ท้อที่ถอยเพราะทำดีแล้วไม่ได้ดี ไม่แปลกเลยใช่ไหม ที่เราจะเห็นคนดีไม่ค่อยกล้าเปิดตัวออกสู่สาธารณะ ความดีมีพื้นที่ถือครองเพียงมุมเล็กๆในสังคม แน่ล่ะ คนเราจะดีทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ สมบูรณ์ ครบครันไปเสียทุกเรื่องนั้นไม่มี แต่คนดีคือคนที่ชอบแก้ไขในสิ่งที่ผิดสิ่งที่พลาด และจะไม่กล้าล่วงไปทำผิดซ้ำๆ ทุกผู้คนบนโลกนี้ล้วนมีบาดแผล คนสมัยใหม่ใจร้าย ชอบเปิด ชอบตอกย้ำบาดแผลเก่าให้เปิดออกให้เปิดอีก ให้กลายเป็นแผลสด ชอบทดสอบความอดทน อดกลั้นของคนอื่นเป็นเครื่องบำบัดกิเลสของตัวเอง หลายคนจึงพูดว่า ทำดีไม่ได้ดีจะทำยังไงดี....
            ในสังคมของคนหมู่มากบางทีก็ลำบากในการสื่อสารความหมายของการกระทำของเราที่เราคิดว่าดี แต่บางทีคนอื่นกลับมองอีกมุมหนึ่ง จะเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาหลายๆ ครั้ง ล้วนเกิดจากความไม่เข้าใจ และมีการนำไปขยายผลทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้เกิดทะเลาะวิวาทกัน และตรงการขยายผลนี่แหละที่มักจะมีการใส่สีตีไข่ เพิ่มดีกรีเพื่อความสะใจ พูดออกไปหนึ่ง ผลกลายเป็นสิบเพียงชั่วพริบตา ยิ่งในยุคสมัยนี้คนเราสื่อสารกันไม่ค่อยจะได้ความ สื่อสารกันไม่ค่อยจะเข้าใจ และเป็นยุคที่จิตใจคนคับแคบ ย่อมเป็นสิ่งยากเย็นที่จะเห็นความดีของกันและกัน ในยุคที่การป้ายสีสามารถออนไลน์ได้ทุกที่ สื่อสมัยใหม่จึงถือว่าเป็นเครื่องมือ เป็นกระป๋องสี เป็นถังสีชนิดเยี่ยมยอด ที่จะใช้ทำร้ายทำลายผู้อื่นได้ โดยที่มิต้องเผยโฉมหน้า เป็นลู่ทางของคนขี้เขลาไม่กล้าเผชิญกับความจริง แถมแอบสิงในร่างที่ไร้ร่องรอย ปล่อยข่าวทำลายป้ายสีผู้อื่นอยู่ร่ำไป เป็นการบดบังซ่อนเร้นมิให้ความดีเจริญงอกงาม แถมยังอ้างว่าทำไปในนามของความยุติธรรม เพื่อเรียกร้องหาพวกมาสนับสนุน ทั้งๆที่เป็นการพูดอยู่ฝ่ายเดียว บางทีการที่เราจะเรียนรู้ความดีบนข้อเท็จจริงนั้นเราต้องมีวุฒิภาวะทางคุณธรรมที่สูง ต้องบรรลุภาวะความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารญาณพอสมควร นี่ก็เป็นพื้นฐานของการเป็นคนดี...
การกระทำดีบางทีมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ได้รับเสมอ ไม่ใช่ว่าใครดีมาเราดีไปเพียงเท่านั้น ความดีอยู่ที่ทวีความดีขึ้นไปเมื่อได้รับสิ่งดีๆ ความดีทำแล้วสุขใจ ทำแล้วต้องไม่มีใครเดือดร้อน ทำแล้วสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างน้อยหนึ่งคนขึ้นไป และทำโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทำความดีต้องพักพิงอยู่บนหนทางคุณธรรมและจรรยาบรรณ เพราะคุณธรรม จริยธรรมเป็นเรื่องเดียวกันกับความดีและความสุข สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด หากเรายังไม่มีจังหวะในการทำความดี ก็ไม่ควรที่จะไปกล่าวร้ายป้ายสีใคร เพียงแค่นิ่งๆสงบ ไม่ก่อมลภาวะทางปากเพียงเท่านี้ความดีก็มีให้เห็นแล้ว
หัวใจของยอดคนดีนั้นจะต้องมั่นคงไม่หวั่นไหว และต้องเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องฉลาดในการเปลี่ยนวิกฤตให้มาเป็นโอกาสในการสร้างความดี ใครมาป้ายสีเราก็นำมาเป็นสีสันของชีวิต คิดเสียว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างความสนุกปาก สร้างความบันเทิงให้กับบางคนก็เป็นบุญกุศลแล้ว สร้างความงดงามให้กับชีวิตด้วยแง่งามของชีวิต เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนใส่ร้ายป้ายสี มาใส่ลายแต้มสี วาดภาพชีวิตให้งดงาม  เมื่อมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ก็จงอย่าได้หวั่นไหว รักษาใจหยุดนิ่งไว้ อย่าให้ขุ่นมัว พยายามรักษาฐานที่มั่นในใจเราไว้ให้ดี ถ้าใจเราไม่หวั่นไหว ย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะยากเกินความสามารถ หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ และต้องไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร แล้วเราจะสู่สวรรค์เหมือนอย่างเช่นพระเยซูเจ้า ที่เสด็จสู่สวรรค์อย่างรุ่งโรจน์ สดใส แม้จะผ่านการถูกป้ายสีมาอย่างโชกโชน 

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่ว่าใครก็ตามที่ในบทความนี้อ้างถึง อ่านแล้วน่าสงสารเขาจัง