วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จะอะไรกันนักหนาหนอ...


แล้วมันก็ผ่านไป...กับข่าวเรื่อง โลกแตก ที่ทำให้คนทำนาย หน้าแตก แต่ก็ยังไม่วายออกมาบอกว่าคำนวณวันเวลาผิดพลาด คนดีชอบแก้ไขคนอะไรชอบแก้ตัว ยังไม่ยอมรับขอเลื่อนไปอีกห้าเดือน คือวันที่ 21 ตุลาคมนี้โลกแตกแน่นอน คนที่ขายบ้าน ขายที่ขายทุกสิ่งเพื่อเตรียมตัวไปสวรรค์ตามคำสั่งของ ศาสดาพยากรณ์ บัดนี้เหมือนตกนรกเพราะหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง ฟังแล้วก็เหนื่อยใจ คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต ก็คงไม่ต้องห่วงเป็นกังวลเรื่องสิ้นโลกกันไปหรอก วันที่เราสิ้นลมหายใจมันก็เป็นวันสิ้นโลกแล้ว เราทุกคนต้องได้พบอย่างแน่นอน เพียงแต่ใครจะไปก่อนหลัง ช้าเร็วต่างกัน กับข่าวเรื่องนี้มันก็มีแง่มุมให้ได้คิดได้เหมือนกัน….
ใช่หรือไม่ เมื่อเราต่างก็รู้ดีว่าวันหนึ่ง วันที่เราสิ้นใจโลกก็ดับตามไป สวรรค์จะเปิดรับเราหรือว่าอเวจีจะต้อนรับเรา หนทางวันนี้จะเป็นตัวบอกวัด แล้วเราล่ะจะเลือกเดินกันเยี่ยงไร!!!! ก็รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีสักวันเป็นวันสุดท้าย แต่เหตุไฉนหนอ ผู้คนวันนี้ยังยึดมั่นอยู่กับตัวเอง เอาตัวตน เอาความคิดทัศนะของตัวเองเป็นตัวตั้ง และต้องได้ผลลัพธ์อย่างใจปรารถนาเสียด้วย วันนี้สังคมเราเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัวแบบไม่รู้ตัวกันมากมาย วุ่นวายกับการให้ได้มาดั่งใจ เมื่อไม่ได้ก็เพิ่มดีกรีความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ชิงชัง และพร้อมที่จะกลั่นแกล้ง พร้อมที่จะตอบโต้ ด้วยทุกวิธีการ ทุกวิถีทางที่จะทำได้ ใจร้ายกันเหลือเกิน เห็นแล้วก็เหนื่อยใจก็ไม่รู้ว่ามันจะอะไรกันนักกันหนากับเวลาของชีวิตบนโลกนี้ที่มีเพียงสามหมื่นกว่าวัน...
ใช่... เมื่อเรามองเห็นคนที่ทำตัวเป็นเหมือนเด็กๆที่พ่อแม่ตามใจจนเคยตัว จนเคยชิน ไม่ได้ดังใจก็ดิ้น ก็ล้มลงนอนบนพื้นไม่ยอมลุกขึ้นจนกว่าจะได้มาซึ่งของที่ต้องการ ก็อดทำให้คิดถึงห้วงวันเวลาที่บางครั้งเราก็เผลอ ใช้ชีวิตเต็มล้นไปด้วยพยศ คิดคดหลอกตัวเองว่าเป็นที่รัก เป็นที่ต้องการของผู้อื่น อวดอ้างตัวหลงผยองพองขน ไม่รับความคิดใคร ไม่ยอมรับใคร ไม่ฟังใคร แล้วปลีกตัวไปอยู่ในโลกที่มีแต่ปลักโคลน ครั้นแล้วเมื่ออยู่ในช่วงของการที่เห็นความวุ่นวายของคนอื่น ที่เอาแต่ใจ ที่เอาแต่เรียกร้อง ที่ต้องให้ผู้อื่นมาน้อมสยบยอม ก็รู้สึกถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเอง ทำให้เข้าใจสัจจะข้อหนึ่งขึ้นมาทันทีทันใด ใช่หรือไม่ การเสียสละที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงนี้เอง ก็คือ สละ ลด ละความเอาแต่ใจของตัวเองลง เสียสละน้ำใจตัวเอง หากเราไม่เอาใจผู้อื่นเราก็คือคนเอาแต่ใจตัวเอง เพราะทุกคนล้วนมีพระเจ้าอยู่ในตัวตน..
บนหนทางการดำเนินชีวิตของเราก็เหมือนกับการเป็นชาวไร่ ชาวนา ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนา เมื่อเรารวมกลุ่มกันในสังคมก็เป็นดังชาวนากลุ่มหนึ่ง  ที่ตกลงใจกันว่า จะช่วยกันปลูกข้าว เริ่มต้นด้วยการประชุม หารือ หาแนวทาง วิธีการ เพื่อที่จะได้ผลผลิตดีๆออกมา ทุกคนต่างเริ่มลงมือปฏิบัติ ได้รับที่นาตามมอบหมาย ต่างคนต่างก็ไปปรับปรุงหน้าดิน ไถพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ทดน้ำเข้านา หว่านกล้า รอระยะเวลา ยามว่างก็มาสังสรรค์กันฉันท์เพื่อนฝูง
พอต้นกล้าเติบโตขึ้น ก็เฝ้าดูแลถอนกล้า นำกล้าไปปัก  เป็นทิวแถว เป็นแนว รอต้นกล้าออกรวง ขณะที่รอต้นกล้าโตก็ต้องคอยดูระดับน้ำ คอยกำจัดวัชพืช ไหนจะหอยขม หนูนาที่จะมาทำลายต้นกล้า จะบ่นว่าอะไรนักหนาก็ใช่ที่ เพราะนี่คือภารกิจของชาวนา
แล้วก็ถึงวันที่รอคอย ต้นกล้าโตเต็มที่กลายเป็นต้นข้าวออกรวงทองสวยงาม   ข้าวเต็มเม็ดได้ผลผลิตเกินคาด เมื่อข้าวสุกงอมเต็มที่ก็ช่วยกัน ลงแขก ลงแรง เก็บเกี่ยวได้ข้าวเต็มลาน ขนไปใส่ยุ้งข้าวจนล้น
เมื่อได้ข้าวเยอะเกินความคาดหมาย ชาวนากลุ่มนั้นจึงช่วยกันแจกข้าวของตนเอง ให้กับเพื่อนบ้านผู้อดอยากและผู้เดินผ่านไปมา ในระยะแรกต่างก็ได้รับคำชมเชย
จากผู้ที่มารับ ต่อมาคนที่ได้รับแจกเริ่มหัวหมอ นำข้าวนั้นไปขายเพื่อแปลงเป็นเงินเช่นเดียวกันกลุ่มชาวนาเมื่อได้รับส่วนแบ่งจนเกินกว่าจะเก็บไว้ ก็แบ่งเพื่อนำไปขายแปลงเป็นเงินเช่นกัน เมื่อได้เงินมาส่วนหนึ่งก็เก็บไว้ใช้ส่วนตัว ตามสิทธิพึงได้และอีกส่วนหนึ่งก็นำมาเป็นทุนกองกลางเพื่อที่จะเป็นต้นทุนทำนาในปีต่อๆไป
ย้อนกลับมาหาผู้ที่ได้รับแจกข้าวเมื่อนำข้าวที่เขาบริจาคให้ฟรี โดยที่ตัวเองไม่เคยลงแรงไปขาย ก็รู้สึกว่าได้รับส่วนแบ่งนั้นน้อยเกินไป จึงได้พยายามมาเรียกร้องให้ได้ส่วนแบ่งข้าวเท่ากับชาวนากลุ่มนั้น แถมยังมีบางคนเข้ามาแบบผู้หวังดีมาคอยแนะนำวิธีทำนาแบบใหม่ๆโดยอ้างว่าจะทำให้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม คอยแนะนำให้ใช้เครื่องมืออย่างโน้นอย่างนี้ บ้างก็ให้ใช้ปุ๋ยอย่างนี้ บ้างก็ให้ซื้อรถไถ ซื้อรถเกี่ยวข้าวบ้างก็ให้ซื้อเครื่องสูบน้ำ ซึ่งสิ่งของต่างๆเหล่านั้น ตัวเองก็เป็นผู้เอามาขายให้ชาวนา คิดว่าจะได้ทั้งเงินและส่วนแบ่งข้าวฟรีอีก แล้วเราจะเป็นชาวนาที่ร่วมกัน หรือเป็นเพียงผู้คอยรับแจกฟรี หรือเป็นผู้หวังดีประสงค์ร้ายกันล่ะ...
หากว่าสังคมของเราเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ได้ คนที่คิดว่าเก่ง คอยแต่เสนอโดยไม่เคยสนอง แล้วสังคมจะปกติสุขได้เช่นไร คงจะมีแต่เสียงบ่นพ้อว่าจะอะไรกันนักกันหนา... เวลาที่เราจะคิดถึงตัวเองขอให้เป็นตอนก่อนนอนเท่านั้น คิดถึงใบหน้าของเราในวันนี้เป็นเยี่ยงไร มีรอยยิ้ม มีความสุขบนใบหน้ามากน้อยแค่ไหน ลดการคิดถึงหน้าผู้อื่นที่ก่อให้เกิดความเครียดลงบ้าง แล้วตื่นมาให้คิดถึงหน้าผู้อื่นว่าวันนี้เราจะเพิ่มรอยยิ้มจะปันความสุขให้ผู้อื่นได้อย่างไร... อย่าให้สังคมเต็มไปด้วยอะไรกันนักกันหนา แต่น่าจะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยรัก เสียสละ ให้อภัยกันมันจะโสภามากกว่า....

ไม่มีความคิดเห็น: