วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เป็นสุข

 

เป็นสุข

>>>  เราทุกคนต่างก็อยากเป็นสุข ด้วยการมีสิ่งอำนวยความสะดวกใช้สอย

เราทุกคนอยากเป็นสุขที่ได้มีเงินทองใช้จ่าย มียอดสะสมมาก ๆ

เราทุกคนอยากเป็นสุข ให้คนอื่นยกย่อง เห็นพ้องไปกับความคิดของเรา

ความสุขแบบนี้ เที่ยงแท้จริงหรือ!!! เป็นความสุขที่เห็นเพียงด้านเดียวหรือไม่??? <<<

ความก้าวหน้าของโลกลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้เราถอยห่างจากความจริง เป็นเพียงแค่โลกเสมือนจริง คือ โลกที่ไม่จริง โลกปลอม ๆ ระบบการเงินก็กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ใช้จ่ายในอากาศ เป็นเงินเหรียญดิจิตอล เงินที่เราสะสมมากำลังถูกเปลี่ยนไป สิ่งที่เราเห็นคิดว่าเที่ยงแท้ สิ่งที่เราเคยคิดว่ามั่นคง  มาวันนี้อาจจะไม่ใช่ ทุกสิ่งที่เราเห็นมันเป็นจริงเพียงด้านเดียว ยิ่งถ้าเรามองเพียงสายตาธรรมดา เราก็เห็นเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่หากเรามองด้วยสมอง ก็จะเห็นกว้างขึ้น และถ้าเรามองด้วยหัวใจ และเพ่งพิศด้วยจิตวิญญาณเราจะพบเห็นสิ่งที่ทำให้เป็นสุขแท้จริง อาจจะดูยากเย็นสักหน่อย ทำบ่อย ๆ เราจะเข้าใจโลก และใส่ใจผู้คนรอบข้างมากขึ้น

ในสังคมวันนี้เราต่างถกเถียงกันเพียงสิ่งที่เห็นด้วยสายตาเท่านั้น แล้วก็เอาสิ่งนั้นเป็นบรรทัดฐานไปเที่ยวตัดสินคนอื่น ทั้ง ๆ สิ่งที่เห็นกับความจริงมันอาจจะไปใช่แบบนั้นก็ได้ เพราะโลกวันนี้ก็เพียงโลกเสมือนจริงเท่านั้น เรานั่งดูการแข่งขันกีฬา ทีมที่เราชอบเราเชียร์เล่นไม่ได้ดังใจเรา เราก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ทีมนั้นเขาไม่เห็นไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูด เพราะเขาอยู่สนามจริง เห็นเพียงสิ่งตรงหน้า แก้ปัญหา ตามปัจจัย ตามเวลาที่อยู่ตรงนั้น เราอาจจะเห็นด้วยมุมของเรา เขาก็มีมุมของเขา และถ้าเราจะเป็นสุขได้ เราก็ต้องหมั่นมองด้วยมุมของหัวใจ เหมือนกับพระราชา มิใช่เหมือนเด็กน้อยสองคนนี้ในเรื่องนี้

วันหนึ่งรถม้าของพระราชาได้วิ่งผ่านถนนที่มีเด็ก 2 คนกำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พระราชาจึงเดินลงจากรถแล้วถามเด็กน้อยทั้งสองคนว่า พวกเจ้ากำลังโต้เถียงเรื่องอะไรกัน?”


เด็กทั้งสองคนจึงเล่าต้นสายปลายเหตุว่า ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันเรื่องพระอาทิตย์ว่า ระหว่างตอนเช้ากับตอนเที่ยง เวลาไหนพระอาทิตย์อยู่ใกล้แผ่นดินมากกว่ากัน เด็กคนแรกสันนิษฐานว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์อยู่ใกล้แผ่นดินมากกว่า เพราะพระอาทิตย์ยามเช้านั้นดวงใหญ่ เท่ากับล้อรถ แต่พอตอนกลางวันกลับหดเล็กลงเหลือขนาดเท่าชามข้าว ส่วนเด็กอีกคนสันนิษฐานว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์ไม่ร้อน แต่พอตอนกลางวันกลับแผ่ความร้อนจนคนเหงื่อท่วม แปลว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์อยู่ห่าง
แผ่นดิน ตอนกลางวันพระอาทิตย์อยู่ใกล้แผ่นดินต่างหาก

พระราชาได้ฟังความเห็นของเด็กทั้งสองแล้วก็เกิดความลำบากที่จะให้คำตอบ จึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบว่า ข้าไม่อาจตัดสินได้ว่าความเห็นข้อไหนถูก เพราะข้าก็ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน

เด็กสองคนได้ฟังคำตอบก็ต่างกล่าวว่า แม้แต่ท่านพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยังจนปัญญา แล้วเด็กอย่างพวกเราจะมีความรู้สักเท่าไหร่กันเชียว แต่กลับยืนกรานหัวชนฝาในความคิดของตัวเองว่าถูกอยู่ฝ่ายเดียว ช่างโง่เขลา ๆ เสียจริง

เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยคนดื้อด้าน ใจคอคับแคบ ไม่ยอมรับฟังความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น มีความรู้เพียงแค่น้อยนิด แต่กลับเชื่อมั่นในความเห็นของตัวเอง เถียงกันจนหน้าดำคร่ำเครียด เพราะยึดในสิ่งที่ตัวเองเห็นมา แล้วก็นำมาเสนอ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย เราควรเปิดใจให้กว้าง เปิดใจรับความคิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่มีแต่ความคิดคับแคบแล้วเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เราจะอยู่อย่างเป็นสุขได้นั้น ต้องมองและตัดสินทุกอย่างด้วยหัวใจ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องออกหน้าทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องคิดทุกอย่าง อ่อนโยนบ้าง ทำหัวใจให้ใสสะอาด เพื่อใช้มองผู้คนอย่างเข้าใจ เห็นใจ ใส่ใจ โดยไม่เอาแต่ใจเรา เท่านี้แหละความสุขในชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น: