วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2564

พลังแห่งความช้า

 

พลังแห่งความช้า

>>> ค่อย ๆ ไป มองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาข้างทาง

ช้าลงบ้าง อาจจะเสียเวลาสีชักหน่อย แต่ได้ความหนักแน่น ปลอดภัยมากขึ้น

ในความเร็วมีพลัง ในความช้าก็ย่อมมีพลังเช่นกัน <<<


            ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา
เวลาขับรถ คันที่ใช้อยู่เป็นประจำออกต่างจังหวัด มักจะใช้ความรวดเร่งไม่ต่ำกว่า 120 เพราะทั้งรถทั้งคนมีพลังล้นเหลือ วันนี้รถคันนี้แม้จะเป็นรถสำรอง แต่ก็ยังใช้มันอยู่ และด้วยทั้งคนทั้งเครื่องเริ่มโรยรา จะเร่งความเร็วมากไปความร้อนรถก็จะขึ้น เครื่องดับกลางทาง เวลาขับจึงจำต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป หาเวลาที่รถราบนถนนไม่คับคั้ง รถไม่ติดมาจึงออกเดินทาง ชีวิตมีความช้าลง รู้จักที่ใช้ชีวิตมากขึ้น มองเห็นความจริง มองเห็นและใส่ใจผู้คนมากขึ้น จนบางครั้งยอมเป็นคนไม่รู้ เพื่อรักษาน้ำจิตน้ำมิตรของคู่สนทนา

วันหนึ่งเมื่อขับมาถึงที่พักในยามเช้าตรู่ เห็นหอยทากตัวหนึ่งบนกำแพง หะแรกที่คิดทำไมมาไต่บนกำแพงบ้านเช่นนี้ ก็ปล่อยให้มันค่อย ๆ ไต่ไป จุดหมายมันตรงไหนมิอาจจะรู้ได้ และก็ไม่ควรจะไปรู้ มันค่อย ๆ คืบคลานไป ชีวิตไม่เร่งรีบ เลยทำให้เห็นว่า บางทีชีวิตเราก็ต้องเป็นเช่นนั้นบ้าง จะเร่งรีบไปกันทำไม การใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ ไม่ใช่ไม่กระตือรือร้น เพียงแต่รอบคอบ หาใช่การหยุดพัฒนาแต่วัฒนามากขึ้น  เพื่อชีวิตที่มีสุข ก่อเกิดพลังและมุมมองมากขึ้น  การช้าลงสักหน่อยก็ทำให้รู้จักโฟกัสมากขึ้น และทำอะไรน้อยอย่างลง ให้มีคุณค่ามากขึ้น แทนที่จะทำหลาย ๆ อย่าง เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว และเก็บเรื่องอื่นไว้ทำในเวลาที่เหมาะสม ทำอะไรให้ช้าก็ต้องมีสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน อ่านหนังสือมากขึ้น ลดการใช้เทคโนโลยีให้น้อยลง จะได้ไม่ไปวิ่งไล่ตามความเร็วของกระแสแห่งการเอารัดเอาเปรียบ

เราอยู่ในยุคที่ต่างรีบต่างเร่ง ต่างเก่งต่างแกล้ง ละเลยความเป็นคนต่อกัน ถ้าวันนี้เราทำชีวิตให้ช้าลงแม้กำลังอยู่ในวันเวลาที่หมุนเปลี่ยนไป โดยหันมาใส่ใจผู้คน ครอบครัว และคนรอบข้างให้มากขึ้น ห่วงใย และเอื้ออาทรต่อกันอย่างจริงใจ ใส่ใจโดยไม่ใส่ความคิดของเราต่อคนอื่น ไม่ใช้มาตรฐานส่วนตนวัคนอื่น การช้าลงจะให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น แล้วนั้นเราจะเข้าใจคนอื่นง่ายขึ้น ไม่ปิดประตูที่จะเมตตาต่อผู้คน มองทุกผู้คนด้วยหัวใจที่อ่อนโยนไม่ใช่ด้วยสายตาแห่งการดูถูกหยามหยัน ไม่โอ้อวดโชว์เพาว์ในความรู้หรือไม่รู้ เพราะความรู้มนุษย์เราก็รู้แค่เพียงปลายจมูกตัวเอง

 เมื่อเราช้าลงจะมีเวลามากขึ้น ควรใช้โอกาสชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ แม้จะเป็นเพียงต้นไม้ดอกไม้หน้าบ้าน นกทำรัง แมลงปอล้อลม ผีเสื้อลักน้ำหวานจากเกสรดอกไม้  ตื่นเช้ามาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ยืดแข้งยืดขา และที่สุดเมื่อความเสื่อมถอยของร่างกายมักเตือนเราว่า ร่างกายเราผ่านความสมบุกสมบันมามาก ก็ต้องหัดที่จะรับประทานของบำรุง มีเวลาสุนทรีย์กับอาหารด้วยฝีมือตัวเอง ค่อยๆ เคี้ยว เพื่อรับรู้ความอร่อยของรสอาหาร ระบบร่างกายก็จะค่อย ๆ ย่อย จะสร้างความรื่นรมย์ให้กับชีวิต

หาความสุขง่ายๆ และรื่นรมย์กับทุกอย่างที่พบเจอ ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ทำด้วยความสุขและความเต็มใจ แม้แต่ เปิดเพลงเบา ๆ เพียงเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ นี่ใช่หรือไม่ เป็นการตระเตรียมตัวของเราเพื่อหนทางใหม่ในชีวิตที่ทุกคนจะต้องเดินไปถึงเหมือนกัน เดินช้าเห็นความงาม เดินเร็วไปไม่จะเห็นอะไรเลย หนทางชิวิตเราต้องเตรียมให้พร้อม ยิ่งรอบคอบ ยิ่งมั่นคง ทางนั้นจะราบเรียบ สะอาด และงดงาม

ไม่มีความคิดเห็น: