วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563

อย่างไม่คาดหวัง

อย่างไม่คาดหวัง

คนเรามักผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเสมอ เป็นสิ่งที่ใช้สอนตัวเองและคนรอบข้างอยู่บ่อยครั้ง เป็นเสมือนการปลงหรือพร้อมน้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หลังจากการผ่อนคลายในการเดินทางจากสถานการณ์โควิด-19 นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เดินทางไกลด้วยเครื่องบิน เป็นการไปแบบมิได้ตั้งหวังว่าต้องไปเที่ยวนั่นไปชมนี่เหมือนทุกครั้ง เพียงแค่ว่าตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนศูนย์เลี้ยงเด็กชาวเขา ในการดูแลของคณะซิสเตอร์คณะพระญาณเอื้ออาทร     และเป็นสะพานเชื่อมบุญให้ผู้มีจิตศรัทธาใจดีมีเมตตาช่วยเหลือเด็ก ๆ ตามความสามารถ ได้เลี้ยงอาหารเด็กสักมื้อสองมื้อ และตั้งแต่เริ่มการเดินทางก็เห็นความเปลี่ยนไปหลายอย่าง สนามบินที่เคยวุ่นวายมากมายก็กลับมีคนน้อยลงจนบางตา แต่กระนั้นเรากลับไม่มีที่นั่งเพียงพอเพราะเก้าอี้ถูกจัดให้มีระยะห่าง นั่งหนึ่งเว้นสอง การขึ้นลงเครื่องก็ต้องใช้เวลามากขึ้น เพราะต้องค่อย ๆ ทยอยให้แถวใกล้ประตูลงก่อน ไม่แย่งกันมารอยืนเบียดเสียดกัน ปล่อยทีละสองแถว กระนั้นก็ยังเห็นคนที่ไร้ระเบียบเห็นแก่ตัวรีบมาจับจองยืนรอก่อนใคร ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงแถวของตัวเองโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น ข้าจะทำซะอย่าง!!! ก็ยังดีที่มีไม่มากนักที่ไม่เคารพกติกา มีวินัยกันมากขึ้นทำให้ประเทศไทยยังไร้การระบาด ก็ต้องช่วยกันทำให้วินัยกลายเป็นวิถีให้ได้

และเมื่อเดินทางถึงยังที่หมาย ฝนฟ้าต้อนรับอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่ลืมหูลืมตา พอเข้าที่พักได้ ทำให้เราไม่ได้ออกมาจากห้องพักเลย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็นอนฟังเสียงฝนผสมกับเสียงร้องกบเขียดอึ่งอ่าง ที่ห่างจากการได้ยินมานาน เมื่อวงดนตรีประสานเสียงบรรเลงไม่นานก็ผลอยหลับไป เป็นการนอนตั้งแต่หัวค่ำครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในใจก็คงคิดว่าวันรุ่งขึ้นก็คงเป็นเช่นนี้อีกกระมัง!!! คงเป็นเพียงเปลี่ยนสถานที่นอนในยุคโควิด แต่แล้วรุ่งเช้าอากาศที่แสนสดชื่น ท้องฟ้าใสขึ้นแม้จะไม่ใสสว่างมากนัก ก็นำความสดใสมาให้ได้ พบปะซิสเตอร์ที่ดูแลศูนย์ ได้ฟังความยากลำบาก ก็อดไม่ได้ที่คิดว่า เหตุไฉนใยต้องเปิดศูนย์รับเลี้ยงเด็กเหล่านี้ด้วยเล่า? ไม่ทำไม่ได้หรือ? เพราะทำแล้วก็ลำบาก ในอีกด้านหนึ่งใจก็ยกย่องคนที่เริ่มต้นภารกิจรักแบบนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าเหนื่อยเพื่อความดีงาม ความรักเมตตาตามแบบพระคริสต์ และเพื่ออนาคตคนในชาติ จึงต้องมีสถานที่เช่นนี้ ซึ่งสอดประสานกับคนขับรถรับส่งที่ไร่เชิญตะวันที่พูดขึ้นมาระหว่างขับรถพาชมสถานที่ว่า “การปลูกต้นไม้ก็ดี แต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นก็แค่ให้ร่มเงาอยู่กับที่ สู้การปลูกคนสร้างคนให้ใหญ่ในดินดีไม่ได้ เพราะเมื่อเติบใหญ่เขาก็จะนำความดีติดตัวไปยังที่ต่าง ๆ เพาะความดีต่อไปไม่สิ้นสุด” เช่นนี้จึงเข้าใจว่า การกระทำบางสิ่งโดยไม่ต้องตั้งความหวังแต่วางใจในพระ เป็นการเพาะความงามชนิดหนึ่งที่บรรดามิชชั่นนารีได้ทำไว้และยังคงสืบสานเลยมาถึงทุกวันนี้

ความงามของการทำงานเพื่อคนอื่นเพื่อสร้างคน ทำงานแบบเงียบ ๆ ไม่ต้องการคำยกย่องสรรเสริญ การเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น การแบ่งปันยังคงมีให้เห็นอยู่มากมาย เมื่อได้เห็นก็ยิ่งมาตอกย้ำนำความคิดเราให้ทำเพื่อผู้อื่นให้มากขึ้นบ้างเช่นกัน คนเรามิได้ถูกสร้างมาเพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น ความสวยงามเช่นนี้จึงมีให้เห็น ความมีน้ำใจเอื้ออาทรยังมีอยู่ตามทาง ได้เติมเต็มหัวใจให้เพิ่มพองยิ่งขึ้น ระหว่างทางเห็นต้นลำใยให้ผลดกงาม จึงแวะชม ลุงเจ้าของสวนเห็นก็ตะโกนบอกว่า “อยากกินก็เด็ดไปเลย เท่าไรก็ได้เต็มที่” อย่างนี้ก็มีด้วย ถ้าไม่ห่วงว่าน้ำตาลจะขึ้นคงได้แวะกินแวะเด็ดให้หนำใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้นใครเล่าจะไม่เกรงใจ ก็บอกว่าจะขอซื้อลุงก็ยังบอกไม่เป็นไร คนร่วมทางจึงบอกว่าขอซื้อสักสิบกิโลจะได้ไหม จะเอาไปแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงลุงจึงยอมขายในราคาเหมือนให้เปล่า นี่ไงความงามที่ไม่คาดหวังว่าจะได้พบ เป็นความสวยงามมากกว่าวิวทิวทัศน์ที่ต้องการไปชม เท่านั้นยังไม่พอระหว่างทางริมทางมีสวนปลูกดอกดาวเรืองเหลืองอร่าม ก็แวะชื่นชม คนในสวนก็เชิญชวนให้ลงมาถ่ายรูปใกล้ ๆ เดินไปในดงดอกไม้บานได้ บางทีการได้รับอัธยาศัยแบบไทย ๆ เช่นนี้ก็อดคิดไม่ได้อีกว่า การเอื้ออาทรของคนไทยคือเกราะป้องกันอันตรายจากภัยต่าง ๆ ได้อย่างดี ในสังคมเมืองหากฟื้นฟูสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เราคงได้เห็นสันติสุขและความผาสุกของคนทั้งชาติ

แต่เมื่อความเจริญทางเศรษฐกิจปลูกฝังคนให้คิดแบบหนึ่งซึ่งลงรากลึกไปพอสมควร จึงยากยิ่งนักที่จะทำให้วิถีเดิมย้อนกลับมา สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือการฟื้นฟูจิตใจเรา อย่าไปคาดหวังกับคนอื่นเพราะจะทำให้เราผิดหวังเปล่า ๆ พยายามทำให้จิตใจเรามีเมตตา และกระทำเพื่อผู้อื่นให้มากขึ้น รักคนใกล้ตัว ห่วงใยคนใกล้ชิด สนิทจิตวิญญาณคนในบ้าน เพียงเท่านี้ความดีงามก็จะค่อย ๆ ขจรขจายออกไป เป็นไร่สวนที่มีอาหารทางใจให้ผู้อื่นได้แวะชิม บางทีความหิวกระหายก็ทำให้อิ่มเอมด้วยการแบ่งปัน มีเมตตาต่อกัน ....


ไม่มีความคิดเห็น: