หน้ากากไซเบอร์
โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน จนบางคนเมื่อยที่จะวิ่งตาม บางคนวิ่งตามโลกจนลืมโลกที่เป็นชีวิตจริง บางคนวิ่งไปเรียนรู้ไป แม้จะไม่วิ่งนำก็เกาะกลุ่มไม่ให้ตกขบวนหลุดหล่นกลางทาง และเมื่ออัตราเร่งความเร็วของการพัฒนาโลกมีมากขึ้น ความจริงจึงถูกทิ้งให้เลือนหายไปมากมาย กลายเป็นความกลวง ความลวงหลอก บอกให้ทุกคนต้องเชื่อ ด้วยการสร้างดินแดนสวรรค์ตามใจตามความรู้สึกของเราคนเดียว แต่เที่ยวบอกให้คนอื่นคิดตามทำตามแบบเรา วันนี้เราจึงเห็นมีการสร้างดินแดนขอบเขตแห่งตนบนอากาศเป็นหย่อมและเพราะด้วยเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้อให้เราสร้างสิ่งที่คิดง่ายกว่าสมัยก่อน เราจึงต่างคนต่างสร้างสวรรค์อันเลื่อนลอย และคิดไปเองว่าเรากำลังอยู่ในดินแดนสวรรค์ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ...
หากว่าโลกของเราวันนี้ไม่เกิดโรคระบาดไวรัสโควิด -19 ขึ้นมา
เราคงได้เห็นการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอีกหลากหลาย เพราะโควิดทำให้หลายแห่งต่างต้องหยุดโครงการ
หยุดการสร้างนวัตกรรม รอให้โรคระบาดห่างหายไปก่อน สิ่งที่จำเป็นกลายเป็น “หน้ากาก”
แม้หลายประเทศจะไม่ยอมรับยอมใส่ เพราะห่วงเรื่องเสรีภาพและการปิดกั้น แต่กระนั้นก็ดี
เทคโนโลยีสื่อสารปัจจุบันก็ทำให้เรากลายเป็นพลเมืองโลกใหม่ โลกออนไลน์ เป็นชาวเน็ต
ชาวออนไลน์ ที่ล้วนเป็นโลกที่ปกปิดตัวจริง แต่เปิดเผยตัวตนในมุมมืด
มีคำพูดหนึ่งที่ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า “มนุษย์เป็นตัวของตัวเองน้อยที่สุดหากเขาพูดในนามของตัวเขาเอง
ส่งหน้ากากให้เขา เขาจะบอกความจริง”คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นมุมมองบางมุมในความเป็นตัวตนของผู้คนยุคนี้ได้เป็นอย่างดียิ่ง
“การใส่หน้ากาก” เป็นการปกปิดตัวตนของผู้พูด
มีส่วนช่วยสำคัญให้ผู้พูดกล้าหาญมากพอที่จะเปิดเผยความจริงออกมามากกว่าที่เคย หรือว่าพระเจ้ากำลังสอนอะไรกับเราที่วันนี้เราต้องสวมใส่หน้ากาก
เพราะที่ผ่าน ๆ มา เราต่างพูดแต่ความเท็จ หมกเม็ดความจริง โชว์แต่ความหลอกลวง
กลวงโบ๋ทางจิตวิญญาณ
แต่เอาเข้าจริง การสวมหน้ากากปิดบังตัวตนก็ไม่ได้เป็นตัวช่วยในการเปิดเผยความจริง
ภายใต้หน้ากากคนเราจะพูดความจริงเสียทั้งหมด หลายต่อหลายครั้ง
การใส่หน้ากากนั้นอาจเป็นไปเพื่อช่วยให้ผู้คนปกปิดตัวตนจากการกระทำสิ่งผิดได้เช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ที่เราเห็นการอวตารของซาตานบินว่อนไปหมด
เราเห็นการปลุกปั่นเล่าความเพียงเพื่อชักจูงให้หลงเชื่อเพื่อผลประโยชน์
ไร้ความจริงใจต่อกัน นับวันก็มีแนวโน้มที่จะรุนแรงต่อกันมากขึ้นบนโซเชียลมีเดีย
การใช้ถ้อยคำเสียดสี รุนแรง ด่าทอ และการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ บางคนกลายเป็นดินแดนสวรรค์เพลิดเพลินที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ใส่คนอื่น
เพราะต่างคนต่างไม่เห็นค่าตา นี่มันคือหน้ากากไซเบอร์
ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างง่ายดาย
และรวดเร็ว ใช้ต้นทุนต่ำ ข้อมูลข่าวสารล้นเหลือที่มีทั้งที่เป็นจริงและเท็จ จำนวนข้อมูลมากมายมหาศาลทำให้การคัดกรองข้อมูลเท็จออกจากข้อมูลจริงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
โลกออนไลน์ โซเชียลมีเดียยังเปิดโอกาสให้ผู้คนสร้างตัวตนใหม่ที่อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงขึ้นมาได้
สร้าง เนื้อหาส่งเข้าสู่โลกโซเชียลได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้หลายคนเกิดมีตัวตนลดปมที่ไม่เคยมีใครเห็นศีรษะเลือกที่จะใช้ชื่ออย่างไรก็ได้
กลายเป็นร่างอวตารหรือร่างดิจิทัลซาตานออนไลน์จึงบังเกิดขึ้น
แล้วก็สร้างสิ่งที่น่าบูชาน่าเคารพ สร้างฐานเสียง สร้างกำไรจากความเบาบางทางจิตวิญญาณของผู้คน
ทำตัวเป็นศาสดาพยากรณ์ แต่ไม่เคยเป็นพยานยืนยันความดีงาม
ในขณะที่ทุกคนอยากสร้างตัวตนอยากมีตัวตน แต่ก็ยังไม่วายเที่ยวตามหาคนต้นแบบ
ต้องจึงมีคนที่รู้ทาง เข้าทางจัดการปูทาง ให้คนเข้ามาติดกับดัก และพร้อมที่จะเชื่อทุกสิ่ง
การเชื่ออย่างสุดหัวใจในบางเรื่องนั้นดี บางเรื่องเราเชื่ออย่างสุดใจไม่ได้
ต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริง แสวงหา เราควรให้ความสำคัญกับตัวสารที่ดีงามมากกว่าตัวตนของผู้สื่อสารที่สวยหรู
สารยังคงอยู่ ส่วนผู้สื่อสารนั้นถ้าไม่ใช่ของจริงย่อมอยู่ได้ไม่นาน หน้ากากย่อมถูกฉีกขาด
และตัวพาหนะส่งสารเองย่อมมีวันเสื่อมสลายได้ สวรรค์ที่แท้จริงยังคงอยู่
แต่สวรรค์ออนไลน์นั้นออนร้ายและอ่อนแอยิ่งนัก แล้วเราจะเลือกสวรรค์อันแท้จริงภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม
หรือจะเลือกสวรรค์ออนไลน์ภายใต้หน้ากากไซเบอร์เล่า? เกียรติอันนี้เราทุกคนเป็นคนเลือกเอง...
คนข้างวัด
สามารถติดตามอ่านบทความ“คนข้างวัด”และร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่
(www.konkhangwat.blogspot.com,http:/www.facebook.com/คนข้างวัด)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น