วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หน้ากากไซเบอร์

 หน้ากากไซเบอร์

โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน จนบางคนเมื่อยที่จะวิ่งตาม บางคนวิ่งตามโลกจนลืมโลกที่เป็นชีวิตจริง บางคนวิ่งไปเรียนรู้ไป แม้จะไม่วิ่งนำก็เกาะกลุ่มไม่ให้ตกขบวนหลุดหล่นกลางทาง และเมื่ออัตราเร่งความเร็วของการพัฒนาโลกมีมากขึ้น ความจริงจึงถูกทิ้งให้เลือนหายไปมากมาย กลายเป็นความกลวง ความลวงหลอก บอกให้ทุกคนต้องเชื่อ ด้วยการสร้างดินแดนสวรรค์ตามใจตามความรู้สึกของเราคนเดียว แต่เที่ยวบอกให้คนอื่นคิดตามทำตามแบบเรา วันนี้เราจึงเห็นมีการสร้างดินแดนขอบเขตแห่งตนบนอากาศเป็นหย่อมและเพราะด้วยเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้อให้เราสร้างสิ่งที่คิดง่ายกว่าสมัยก่อน เราจึงต่างคนต่างสร้างสวรรค์อันเลื่อนลอย และคิดไปเองว่าเรากำลังอยู่ในดินแดนสวรรค์ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ...

อียูเผย "แรนซัมแวร์" คืออาชญากรรมไซเบอร์ที่ร้ายแรงที่สุด

หากว่าโลกของเราวันนี้ไม่เกิดโรคระบาดไวรัสโควิด -19 ขึ้นมา เราคงได้เห็นการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอีกหลากหลาย เพราะโควิดทำให้หลายแห่งต่างต้องหยุดโครงการ หยุดการสร้างนวัตกรรม รอให้โรคระบาดห่างหายไปก่อน สิ่งที่จำเป็นกลายเป็น “หน้ากาก” แม้หลายประเทศจะไม่ยอมรับยอมใส่ เพราะห่วงเรื่องเสรีภาพและการปิดกั้น แต่กระนั้นก็ดี เทคโนโลยีสื่อสารปัจจุบันก็ทำให้เรากลายเป็นพลเมืองโลกใหม่ โลกออนไลน์ เป็นชาวเน็ต ชาวออนไลน์ ที่ล้วนเป็นโลกที่ปกปิดตัวจริง แต่เปิดเผยตัวตนในมุมมืด

มีคำพูดหนึ่งที่ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า “มนุษย์เป็นตัวของตัวเองน้อยที่สุดหากเขาพูดในนามของตัวเขาเอง ส่งหน้ากากให้เขา เขาจะบอกความจริง”คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นมุมมองบางมุมในความเป็นตัวตนของผู้คนยุคนี้ได้เป็นอย่างดียิ่ง “การใส่หน้ากาก” เป็นการปกปิดตัวตนของผู้พูด มีส่วนช่วยสำคัญให้ผู้พูดกล้าหาญมากพอที่จะเปิดเผยความจริงออกมามากกว่าที่เคย หรือว่าพระเจ้ากำลังสอนอะไรกับเราที่วันนี้เราต้องสวมใส่หน้ากาก เพราะที่ผ่าน ๆ มา เราต่างพูดแต่ความเท็จ หมกเม็ดความจริง โชว์แต่ความหลอกลวง กลวงโบ๋ทางจิตวิญญาณ

คอบช. จัดถก พ.ร.บ. ไซเบอร์ 'คุ้มครองหรือคุกคาม' - มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

แต่เอาเข้าจริง การสวมหน้ากากปิดบังตัวตนก็ไม่ได้เป็นตัวช่วยในการเปิดเผยความจริง ภายใต้หน้ากากคนเราจะพูดความจริงเสียทั้งหมด หลายต่อหลายครั้ง การใส่หน้ากากนั้นอาจเป็นไปเพื่อช่วยให้ผู้คนปกปิดตัวตนจากการกระทำสิ่งผิดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ที่เราเห็นการอวตารของซาตานบินว่อนไปหมด เราเห็นการปลุกปั่นเล่าความเพียงเพื่อชักจูงให้หลงเชื่อเพื่อผลประโยชน์ ไร้ความจริงใจต่อกัน นับวันก็มีแนวโน้มที่จะรุนแรงต่อกันมากขึ้นบนโซเชียลมีเดีย การใช้ถ้อยคำเสียดสี รุนแรง ด่าทอ และการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ บางคนกลายเป็นดินแดนสวรรค์เพลิดเพลินที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ใส่คนอื่น เพราะต่างคนต่างไม่เห็นค่าตา นี่มันคือหน้ากากไซเบอร์

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว ใช้ต้นทุนต่ำ ข้อมูลข่าวสารล้นเหลือที่มีทั้งที่เป็นจริงและเท็จ จำนวนข้อมูลมากมายมหาศาลทำให้การคัดกรองข้อมูลเท็จออกจากข้อมูลจริงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โลกออนไลน์ โซเชียลมีเดียยังเปิดโอกาสให้ผู้คนสร้างตัวตนใหม่ที่อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงขึ้นมาได้ สร้าง เนื้อหาส่งเข้าสู่โลกโซเชียลได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้หลายคนเกิดมีตัวตนลดปมที่ไม่เคยมีใครเห็นศีรษะเลือกที่จะใช้ชื่ออย่างไรก็ได้ กลายเป็นร่างอวตารหรือร่างดิจิทัลซาตานออนไลน์จึงบังเกิดขึ้น แล้วก็สร้างสิ่งที่น่าบูชาน่าเคารพ สร้างฐานเสียง สร้างกำไรจากความเบาบางทางจิตวิญญาณของผู้คน ทำตัวเป็นศาสดาพยากรณ์  แต่ไม่เคยเป็นพยานยืนยันความดีงาม

เรื่องต้องรู้เทคโนโลยีคู่ธุรกิจ - Tech World

ในขณะที่ทุกคนอยากสร้างตัวตนอยากมีตัวตน แต่ก็ยังไม่วายเที่ยวตามหาคนต้นแบบ ต้องจึงมีคนที่รู้ทาง เข้าทางจัดการปูทาง ให้คนเข้ามาติดกับดัก และพร้อมที่จะเชื่อทุกสิ่ง การเชื่ออย่างสุดหัวใจในบางเรื่องนั้นดี บางเรื่องเราเชื่ออย่างสุดใจไม่ได้ ต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริง แสวงหา เราควรให้ความสำคัญกับตัวสารที่ดีงามมากกว่าตัวตนของผู้สื่อสารที่สวยหรู สารยังคงอยู่ ส่วนผู้สื่อสารนั้นถ้าไม่ใช่ของจริงย่อมอยู่ได้ไม่นาน หน้ากากย่อมถูกฉีกขาด และตัวพาหนะส่งสารเองย่อมมีวันเสื่อมสลายได้ สวรรค์ที่แท้จริงยังคงอยู่ แต่สวรรค์ออนไลน์นั้นออนร้ายและอ่อนแอยิ่งนัก แล้วเราจะเลือกสวรรค์อันแท้จริงภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม หรือจะเลือกสวรรค์ออนไลน์ภายใต้หน้ากากไซเบอร์เล่า? เกียรติอันนี้เราทุกคนเป็นคนเลือกเอง...

คนข้างวัด

สามารถติดตามอ่านบทความคนข้างวัดและร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ 

(www.konkhangwat.blogspot.com,http:/www.facebook.com/คนข้างวัด)


ไม่มีความคิดเห็น: