ความงามที่ซ่อนเร้น
เราก็มาถึงวันที่เราสามารถที่จะเนรมิตรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็ได้
จะให้สวยงามตามแบบพิมพ์นิยมเช่นไร เปลี่ยนแปลงได้ในพริบตาด้วยเงินตรา
ด้วยเทคโนโลยีทางด้านศัลยกรรมที่นับวันยิ่งทำให้โลกนี้มีแต่คนสวยที่ต่างอวดรูปโฉมโนมพรรณกันตามหน้าสื่อสมัยใหม่
จนบางครั้งแทบแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือที่เรียกว่าความงามที่แท้จริง?
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ความสวยเติมแต่งได้ แต่ความงามภายในนั้นกลับหดหายลงไปทุกที
เราบูชาเทิดทูนความสวยภายนอกกันอย่างล้นเหลือ
แต่ความงามภายในปล่อยละลายหายไปในอากาศ แล้วเราก็ต้องตกอยู่ในภาวะดูแคลนคนอื่นที่ไม่ยอมทำตัวให้สวยตามสมัยนิยม
กลายเป็นค่านิยมที่ดูถูกเหยียดหยามกัน หรือไม่ก็กลายเป็นความอิจฉาริษยาใส่กัน ความงามที่ซ่อนเร้นอยู่ยังคงถูกปิดบังต่อไป
ในชีวิตจริงเรามักถูกปลูกฝังให้ใช้สายตาในการตัดสินผู้อื่นมากกว่าใช้หัวใจ ใครสวยใครหล่อ ใครดูดี
บุคลิกภาพเลิศเลอมักได้เปรียบ มักจะได้รับการยอมรับง่ายกว่า ทั้ง ๆ
ที่เรารณรงค์ในความเสมอภาค
แต่ก็คงเป็นเพียงมโนทัศน์เท่านั้นเองที่สร้างเป็นกำบังเพื่อให้เป็นวาระสากลที่ดูดี
เพื่อความเป็นหนึ่งเดียว ในความเป็นจริงเราก็ยังเหยียดหยามกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพียงแต่มีวิธีการแสดงออกที่ดูเนียนขึ้น ใช่หรือไม่
ตราบใดที่เรายังไม่เห็นความงามในความแตกต่าง ระหว่างคนนั้นคนนี้
เราย่อมมีอคติใส่กันได้เสมอ เราต้องฝึกจิตใจเราให้เห็นความงามในความต่างแตก
ให้เห็นพระพรในความไม่เหมือน
แล้วจึงสอนให้เด็กที่กำลังจะก้าวขึ้นมารับผิดชอบสังคมแทนเรา
ให้มองความงามด้วยหัวใจ เคารพในความงามในตัวตนให้เป็น
แล้วเมื่อนั้นเราจะเห็นความงามในคนอื่นสิ่งอื่นได้
ถึงแม้ว่าความงามของใครบางคนจะถูกซ่อนเร้นอยู่ หน้าที่ของเราต้องแสวงหาความงามมิใช่ฝักใฝ่เพียงความสวยภายนอกเท่านั้น
ในการแข่งขันกีฬาการเหยียดผิว
เหยียดเชื้อชาติยังมีให้เห็นมาโดยตลอด
เพราะเราสร้างผู้คนให้ยึดมั่นในความหลงใหลความเก่งเฉพาะตัวเอง
ซึ่งไม่ต่างกับการมองเพียงความสวยเท่านั้นเลย มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่อเมริกา
วันหนึ่งคุณแม่ผิวขาวพาลูกชายอายุ 6 ขวบ ออกจากบ้าน
เธอได้เรียกรถแท็กซี่มาคันหนึ่ง ปรากฏว่าคนขับเป็นชายผิวดำ เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยพบกับคนดำมาก่อน เมื่อได้พบเจอกับชายผิวดำก็รู้สึกกลัว
พร้อมกันนั้นก็ได้ถามคุณแม่ออกไปว่า
“ชายคนนี้เป็นคนชั่วร้ายใช่ไหมครับ!
ทำไมถึงได้ตัวดำขนาดนี้?”
ชายผิวดำเมื่อได้ฟังก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันนั้น คุณแม่ผิวขาวก็ได้บอกกับลูกชายว่า
“คุณลุงไม่ใช่คนชั่วร้ายจ้า
คุณลุงเป็นคนดี” เด็กน้อยเงียบไปสักครู่แล้วถามต่อไปว่า
“ถ้าไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายเขาต้องทำอะไรที่เลวร้ายแน่
ๆ ไม่งั้นพระเจ้าไม่ลงโทษเขาอย่างนี้หรอก!” เมื่อชายคนดำได้ยินน้ำตาก็คลอเบ้า เขาอยากรู้ว่าแม่ของเด็กน้อยจะตอบลูกของนางว่าอย่างไร?
คุณแม่ตอบลูกชายไปว่า
“คุณลุงเป็นคนดี และไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายเลย
ดอกไม้ที่อยู่ในสวนหลังบ้านของเรา
มีทั้งสีแดง สีขาว สีเหลือง...... ใช่ไหมจ๊ะ?” “ใช่ครับ ๆ”
“แล้วเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้ต่างก็เป็นสีดำใช่ไหมจ๊ะ?"
เด็กน้อยคิดสักครู่หนึ่งก็ตอบออกไปว่า
“ใช่ครับ มันเป็นสีดำ” “เมล็ดพันธุ์สีดำ
ออกดอกสีสันงดงาม
ทำให้โลกนี้มีสีสันหลากหลายใช่ไหมจ๊ะ?” “ใช่ครับ” เด็กน้อยรู้สึกเข้าใจในทันที
“ถ้าอย่างนั้น
คุณลุงคนขับรถก็ไม่ใช่คนเลวร้ายนะสิครับ
ขอบคุณคุณลุงมากครับเพราะคุณลุงทำให้โลกนี้มีสีสัน ผมจะสวดให้คุณลุงครับ”
เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาจึงสวดให้คุณลุงในทันที
คนขับแท็กซี่น้ำตาไหลคลอออกมาไม่หยุดพลางคิดในใจ
“คนดำถูกดูถูกจากคนทั้งโลก แต่มาวันนี้
คำสอนของคุณแม่ผิวขาวที่สอนลูกของเธอทำให้ลูกของเธอไม่กลัวฉันอีกต่อไป
อีกทั้งยังสวดเพื่อฉันอีก ต้องขอบคุณเธอจริงๆ"
เมื่อถึงจุดหมายชายผิวดำไม่ยอมรับเงินค่ารถ
เขาบอกกับเธอว่า
“ตอนเป็นเด็กผมก็เคยถามคำถามนี้กับแม่
แม่บอกกับผมว่า พวกเราคือคนดำถูกสาปมาให้เป็นคนชนชั้นต่ำ หากแม่ตอบผมเหมือนที่คุณตอบลูกของคุณ
ชีวิตผมคงไม่เป็นเหมือนวันนี้”
ในความต่างมีความงามและความยิ่งใหญ่เสมอ สองท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ นักบุญเปโตรและเปาโล
ต่างก็มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน ต่างคนต่างนำความงดงามแห่งรักของพระเจ้าไปเยียวยาสังคมที่กำลังโหยหาสัจจะในวันนั้น
ในวันนี้สังคมก็ใช่ว่าจะไม่โหยหาสัจจธรรมความจริง
แต่ยังหาน้อยคนที่จะนำพาให้พบเจอสิ่งเหล่านั้น เพราะอะไร?
เพราะเราก็ต่างแสวงหาความสวยความเก่งของตัวเองเป็นสรณะ
ปล่อยปละละเลยให้ความงามยังคงถูกซ่อนเร้นให้อยู่ในกล่องแก้วอันสวยเลิศเท่านั้นเอง
และกว่าที่พระศาสนจักรจะผ่านวันเวลามั่นคงถึงวันนี้ได้
ทั้งเนื้อเลือดถูกทาบทาลงแผ่นดินไว้อย่างมากมาย เราล่ะ!!! จะสามารถช่วยกันนำความงามออกมาสู่สังคมนี้ได้หรือไม่
ศัลยกรรมจิตวิญญาณบ้าง เพื่อทุกคนที่สัมผัสเราจะรู้ว่าเราคือศิษย์พระคริสต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น