วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2562

หนึ่งเดียวหาใช่หนึ่งเดี่ยว


หนึ่งเดียวหาใช่หนึ่งเดี่ยว
สำหรับคนมีงานทำประจำหลายคนมีวิถีชีวิตหมุนวนเวียนแบบเดิมซ้ำ ๆ วันจันทร์คงเป็นวันเศร้า ที่ต้องเริ่มต้นทำงานประจำ ต้องตื่นแต่เช้า ฝ่าจราจรอันวุ่นวาย และวันศุกร์คงเป็นวันสุข เพราะได้มีเวลาพักผ่อนถึงสองวัน แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เหมือนดั่งสายฝนอัดอั้นมาแต่หนไหนก็ไม่รู้ เทระบายสาดใส่เมืองกรุงตั้งแต่บ่ายยันค่ำ วันศุกร์วันที่ทุกคนกำลังจะกลับไปเพื่อหาความสุขตามวิถีทางคนเมือง ต้องมาพบเจอวิกฤติ ใช้ชีวิตครึ่งค่อนคืนอยู่ในรถ ยืนรอรถเมล์ บนท้องถนนกลายเป็นลานจอด จำนวนรถมากประดังออกจากซอกหลืบทุกซอยมาติดค้างร่วมกัน ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนต้องการกลั่นแกล้งแย่งความสุขอันน้อยนิดให้หายไป ถนนหลายสายกลายเป็นลำคลอง ทางเดินเท้ากลายเป็นทางสัญจรของน้ำ แล้วสิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ลอยฟ่องสะท้อนความเป็นจริงของความเห็นแก่ตัวในรูปของขยะ ถึงแม้น้ำจะแห้งหายไป ก็ยังฝากไว้เป็นที่ระลึกให้เราเห็นกันเกลื่อนกลาด กลายเป็นวันทุกข์โดยจำยอม เด็ก ๆ ลูกหลานติดรออยู่ที่โรงเรียน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองไปรับไม่ได้ เด็ก ๆ มีเวลาเล่นกับเพื่อนได้มากขึ้น แต่งานเข้าผู้บริหาร หลายแห่งต้องทำอาหารเย็นเลี้ยงนักเรียน บางโรงก็ข้าวต้ม บางโรงข้าวไข่เจียว เด็กกินแล้วยังติดใจมีความสุข พูดว่า “อยากให้เป็นอย่างนี้ทุกศุกร์” ผู้ปกครองได้ยินลมแทบจับ เป็นความงามยามวิกฤติ

ในความเป็นมนุษย์ของเรา ล้วนมีสังคมเป็นกลุ่มก้อน เข้าสังกัด ยามทุกข์ร้อนช่วยเหลือกันยามมีมากก็แบ่งปันกัน ในประเทศนอร์เวย์ บ้านไหนแอปเปิ้ลออกลูกดก เขาก็แบ่งปันให้คนอื่นด้วยการใส่ถุง แล้วผูกแขวนตามกำแพงบ้าน ใครอยากได้อยากกินก็เอาไป น้ำใจยิ่งใหญ่จริง ๆ เรื่องน้ำใจคนไทยเราไม่แพ้ชาติอื่น ๆ ในโลก หลายครั้งเราเห็นเหตุการณ์คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เห็นใครประสบปัญหาก็จะมีคนเข้าช่วยเหลือทันที แต่เนื่องจากเราติดเสพสื่อที่แข่งขันกันเสมอ เสนอเรื่องที่ก่อให้เกิดความกระทบกระทั่ง ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และยิ่งในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง จึงได้ระบายความเห็นแก่ตัวที่เกาะกุมเรามาอย่างเนิ่นนาน เกิดภาวะอยากจะเป็นที่หนึ่ง อยากเก่ง จึงแสดงออกด้วยอาวุธมีเดียยุคใหม่ เข้าห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง หลงลืมความมีน้ำใจอันงดงามของวัฒนธรรมเก่าก่อนจนหมดสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย รอให้มีวิกฤติจึงจะมีน้ำใจกันหรือ??


ตั้งแต่โลกต้อนรับศตวรรษใหม่ด้วยการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เกิดความท้าทายหลายด้านทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนาและสิ่งแวดล้อม ที่ล้วนแต่เป็นโจทย์สำคัญให้มนุษย์ต้องร่วมกันคลี่คลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่โลกแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็ถูกออกแบบมาเพื่อร่วมกันในการทลายข้อจำกัดเดิม และเชื่อมทุกคนเข้าหากัน ก่อให้เกิดการเข้าถึง แลกเปลี่ยน แบ่งปัน หรือแม้แต่ร่วมมือกันเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน แต่ที่ไหนได้ เรากลับนำสิ่งเหล่านี้มาใช้เพื่อสร้างตัวตน เพื่อให้กลายเป็นที่หนึ่งเดี่ยว ๆ ไม่สนใจผู้คน ไม่แยแสใส่ใจกัน หันมามองดูเราในวันนี้มีเทคโนโลยีมากมาย ที่ช่วยให้สามารถทำกิจกรรมหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นถ่ายรูป Selfie ด้วยตัวเอง ถ่ายปุ๊บเห็นปั๊บ ไม่ต้องรอไปล้างที่ร้าน ไม่ต้องลุ้นว่ารูปจะเสียหรือเปล่า ไม่ต้องง้อช่างถ่ายรูป มี App แผนที่ค้นหาเส้นทาง ไม่ต้องใช้วิถีทางอยู่ที่ปากอีกต่อไป เชื่อเครื่องนำทางมากกว่าคนนำทาง พาเข้าป่าเข้าดงก็คงไม่เป็นไร!!! หรือแม้แต่ Google ที่มีคำตอบทุกอย่างรวมไว้ในที่เดียว เป็นอับดุลตามงานวัด รู้ทุกอย่างตอบได้ทุกเรื่อง เมื่อไม่ต้องพึ่งพิงใครมาก คนรุ่นใหม่จึงมีความแข็งกระด้าง ไม่มีความสุภาพ ไม่ยอมโอนอ่อนให้ใครง่าย ๆ เมื่อก่อนมีอะไร เด็กต้องมาปรึกษาพ่อแม่ คุณครู พระสงฆ์ ซิสเตอร์ มาเซอร์ แต่ทุกวันนี้ หา “อากู๋” (Google) เป็นที่หนึ่งในดวงใจ มีคำตอบให้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องชีวิตภายใน ชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปเสียแล้วสำหรับคนยุคนี้



เนื่องด้วยเพราะมนุษย์เรามักตัดสินกันที่ความเป็นรูปแบบ ที่รูปลักษณ์ภายนอก เสื้อผ้า หน้า ผม รถยนต์ มองข้ามความจริงที่ดำเนินอยู่ภายใน  หรือใช้เวลาหมดไปกับการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกนี้  และละเลยการพัฒนาภายใน  อันเป็นการพัฒนาที่แท้จริง การพัฒนาภายในนี้จำเป็นต้องใช้เวลา ไม่รวดเร็ว ไม่ทันใจ  สิ่งที่ท้าทายกว่านั้นก็คือ  ชีวิตภายในนี้มองไม่เห็น  อาศัยพระจิตนำทาง  เป็นการท้าทายในระดับหนึ่งของการพัฒนาตนเอง แต่การพัฒนาในระดับนี้เองเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน  มิใช่การพัฒนาอย่างฉาบฉวย อย่างผิวเผิน  หรือขอไปทีเหมือนการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกเป็นที่มาของการขอเป็นที่หนึ่งเดี่ยว ๆ ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น
ใช่หรือไม่ ความไม่เคารพในบทบาทและหน้าที่ การสอดแทรกการกระทำของผู้อื่น การวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์และการด่าทอใส่กันแบบไม่เห็นหน้า การคอยจับตามองความผิดหรือการพยายามควบคุมผู้อื่นให้อยู่ภายใต้ความคิดเห็นของเราฝ่ายเดียว เปรียบเหมือนเสียงดนตรีที่ไร้ความไพเราะ กระทบต่อสายใยและความสัมพันธ์อย่างรุนแรง ความหลงทะนง ความกระหายการยอมรับจากผู้อื่น ไปจนถึงความอิจฉา ทำให้เกิดความไม่สอดคล้อง ที่สร้างความแตกร้าวและความขัดแย้งในที่สุด ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนเรามีพระเจ้าเป็นศูนย์ของสรรพชีวิต มีความเชื่อร่วมกัน เราควรมีความหนึ่งเดียวกัน อย่าฉายเดี่ยว เดี๋ยวเราจะกลายเป็นคนเชื่อถือพระเจ้าเพียงแค่ผิว ๆ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย มามีชีวิตภายในร่วมกันฉันพี่น้องเพื่อความร่มเย็นของสังคมจะคงอยู่ตลอดไป

ไม่มีความคิดเห็น: