สายปัญญา
ท่ามกลางความเปลี่ยนของมวลโลก
ทำให้การปรับตัวของมวลหมู่มนุษย์เราสับสนอลหม่านพอสมควร ออกอาการหงุดหงิดง่าย หัวร้อนใจร้ายกันตั้งแต่เด็ก
พ่อแม่หลายคนถึงกับเอ่ยปากเลยว่า ไม่รู้จะสอนกันยังไงแล้ว!!!! วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าเกิดปะทะกัน
จนทำให้คำสั่งสอนในเรื่องคุณธรรมกลายเป็นสิ่งโบราณควรเก็บใส่กล่องลงกุญแจ เพราะเป็นคำสอนแบบไม่ทันสมัย
ไม่ทันความคิดเด็ก หลายครอบครัวกำลังอยู่ในภาวะแบบนี้ จึงพากันปล่อยเลยตามเลย
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนบ้าง ปล่อยให้เป็นงานภาระของครูบ้าง
ในโรงเรียนก็ไม่อาจจะสอนสั่งในรูปแบบเดิมได้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความกระทบกระทั่ง
กลายเป็นความอิหลักอิเหลื่อ เบื่อหน่ายเหนื่อยล้าในการทำหน้าที่ผู้สอน
ภาวะนี้เกิดขึ้นในทุกมุมโลก
เราเห็นเด็กหนุ่มทำร้ายเพื่อนสาวแบบที่ลูกผู้ชายในสมัยก่อนไม่กระทำกัน
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมาเห็นเด็กเพียงไม่กี่ขวบควงปืนยิงเพื่อนเสมือนเล่นเกมหน้าคอมพิวเตอร์
เราเห็นเด็กสาวพูดจาหยาบโลน ตะโกนโวยวายเมื่อไม่ได้ดังใจเป็นเรื่องดูโก้หรู
จะต้องทำอย่างไรดีจึงจะนำความดีงาม ความมีเมตตาต่อกันกลับคืนสู่หัวใจผู้คนยุคนี้ได้
แน่นอน ความดีความงามยังเป็นเช่นเดิม
และจะเป็นเช่นนี้ตลอดมาตลอดไป วิธีการต่างหากที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามกระแสแห่งวันเวลา
เราต้องหาวิธีพูด วิธีบอกให้ลูกหลานได้เข้าใจถึงคุณค่าของความดี
คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน
เรามีสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้อยู่กับเราตลอดมา แต่บางทีเราก็หลงลืม
และไม่ได้นำออกมาใช้ นั่นคือ “องค์พระจิตเจ้า” ผู้ทรงพระคุณมากมายและไม่เคยหนีหายไปจากพวกเรา
เป็นเราเองที่ใช้สิ่งอื่นมาบดบัง เราใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
เราใช้ความอวดรู้มากกว่าใช้สติปัญญา เราใช้คำก่นด่ามากกว่าใช้วิจารณญาณ
เราใจร้อนต้องเห็นผลในทันทีโดยไม่เห็นความงามของการรอคอย และที่สุด ไร้ความอดทนที่จะหาวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกหลานสำนึกในความดีความงามของผู้คนรอบข้าง
มีตัวอย่างหนึ่งที่พ่อคนหนึ่งสอนลูกด้วยปัญญามากกว่าอารมณ์ และให้ลูกได้เห็นวิธีทำดีจากการกระทำ
“พ่อครับ
ข้างบ้านขโมยสอยมะม่วงเราครับ” เด็กชายตัวน้อยวิ่งมาหาพ่อ พ่อหัวเราะแล้วถาม “เราเหลืออีกหลายลูกไหม?
ลูก”
“ผมเห็นอีกหลายลูกเลยครับ” “งั้นไปสอยมะม่วงสุกมาให้พ่อสักเจ็ดลูกสิ”
เด็กชายเข้าใจว่าพ่อคงใช้ให้สอยมะม่วงเพราะกลัวเพื่อนบ้านจะขโมยอีกจึงรีบสอยมะม่วงมาให้พ่อ
เมื่อได้มะม่วงก็หอบมาให้พ่อ หวังว่าจะได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ปรากฏว่า
ผู้เป็นพ่อนำมะม่วงทั้งหมดมาจัดใส่ตะกร้าอย่างสวยงามแล้วจูงมือลูกชายไปกดกริ่งหน้าประตูของเพื่อนบ้าน
ที่ลูกชายบอกว่าสอยมะม่วงไป
เด็กชายงง
ไม่เข้าใจว่าพ่อจะทำอะไร เมื่อเพื่อนบ้านเปิดประตูรั้วออกมาเป็นชายวัยกลางคน
หน้าตามีพิรุธเหมือนทำผิดอะไรบางอย่าง ผู้เป็นพ่อจึงยื่นมะม่วงทั้งตะกร้าให้
แล้วกล่าวว่า “ผมเอามะม่วงมาฝากครับ เป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านข้าง ๆ นี่เอง มีอะไรก็บอกกันนะครับ
จะได้ช่วยเหลือกัน”
ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาบอกให้พ่อรอสักครู่พร้อมทั้งกลับมาด้วยตะกร้าใบเดิม
แต่คราวนี้มีไข่ไก่เต็มตะกร้า
“ผมเลี้ยงไข่ไก่ไว้หลายตัว
ขอให้ไข่ไก่เป็นของตอบแทนน้ำใจนะครับ”
พ่อกล่าวขอบคุณ
แล้วจูงมือเด็กชายกลับบ้าน เด็กชายถามพ่อด้วยความสงสัย
“ทำไม? พ่อถึงเอามะม่วงไปให้เขา
แทนที่จะไปทวงมะม่วงของเราคืนมา”
“ถ้าพ่อไปทวงมะม่วง
เราอาจจะได้มะม่วงคืน แต่เราจะเสียเพื่อนบ้านและอาจจะโกรธกัน แต่นี่พ่อเอามะม่วงไปให้เขาเจ็ดลูก
รวมที่เขาสอยไปหนึ่งลูกเป็นแปดลูก แต่เราได้ทั้งน้ำใจเขา ซึ่งก็คือไข่ตะกร้าใหญ่
แถมยังได้เพื่อนบ้านเพิ่ม ลูกว่าแบบไหนดีกว่ากันล่ะ” (CR;แสงและเงา คือมายา)
อารมณ์
นำมาซึ่งปัญหาที่จะพาไปสู่ความขัดแย้ง ใช้สติปัญญาก่อนที่จะเกิดอารมณ์ไม่ดีต่อกัน
ย่อมจะเป็นหนทางที่ดี ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอหากเรามองปัญหาด้วยสติปัญญาอย่างรอบคอบ
ถ่องแท้ เราย่อมจะได้แนวทางแสงสว่างนำทางที่จะแก้ปัญหาได้เสมอ
และนี่จึงเป็นการนำสันติสุขมาสู่คนรอบข้าง สันติสุขจะดำรงอยู่ตลอดไปในทุกกาลสมัย อย่าปล่อยให้ลูกหลานเผชิญความหัวร้อนใจร้ายกันเลย
มาช่วยกันสร้างทางแห่งสันติด้วยกัน
และเชื่อว่าอีกไม่นานผลนั้นจะทำให้เกิดความร่มเย็นผาสุกตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น