วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

นิวเคลียร์โซเชียล


นิวเคลียร์โซเชียล


ขณะที่ปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายเผาผลาญร่างกายเพื่อขับส่วนเกินให้ลดหายไปบ้าง ในความหมายของการปั่นคือการไปข้างหน้า ตามจังหวะของเท้าทั้งสองสลับกันเหวี่ยงแรงขับเคลื่อน บางจังหวะเพิ่มแรงให้เร็ว ปั่นให้ถี่ มีบางจังหวะผ่อนลงเพื่อพัก และอาจจะเป็นความชอบส่วนตัวที่จะใช้บทเพลง ดนตรีคลอ ๆ เพื่อล่อให้ล่องลอยลดรอยความเหนื่อยเมื่อยขา แต่ทุกครั้งบทเพลงที่เปิดอยู่นั้นมักพาให้ความทรงจำวันวานหวนวนเวียนกลับมา ความเจ็บปวด ความแพ้ภัยในตัวเอง การกระทำที่เคยพลาดพลั้งไปทำให้คนรอบข้างเสียใจ เสียน้ำตา ครั้งแล้วครั้งเล่าตอกย้ำซ้ำเติมเรื่องเก่า ความรู้สึกผิดมักเกาะกุมหัวใจให้สำนึกผิดอยู่เสมอ บางทีการปั่นก็ไม่ใช่การมุ่งหน้าเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกี่ยวร้อยถอยหลังในวันวานให้เกิดพลังเพื่อมุ่งหน้าสู่วันใหม่ต่างหาก

ในชีวิตเรามีพลังขับเคลื่อนแฝงเร้นอยู่มากหลาย บางพลังส่งเสริม บางพลังทำลาย หากเราสามารถที่จะนำพลังด้านดีงามเหล่านั้นมาถักทอ เปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจ แบบนี้จึงเรียกว่าการใช้พลังในเชิงสร้างสรรค์  และเป็นพลังบริสุทธิ์ แต่...นั่นแหละเมื่อวันเวลาเปลี่ยนแปลงความใหม่เปลี่ยนแทนความเก่า แรงบันดาลใจถูกเปลี่ยนเป็นแรงอาฆาตมาดร้าย เป็นแรงริษยา ที่สะสมกลายเป็นพลังทำลายสูง ที่ได้ใช้ความรวดเร็วของสื่อที่อยู่ในมือเป็นตัวปล่อยผ่านไป เป็นท่อแรงดันสูง แล้วให้ผลกระจายขยายสู่สาธารณะแบบไร้ความรับผิดชอบ เราตำหนิ ด่ากราด วิจารณ์ได้ในทุกเรื่อง ในบางเรื่องแค่ได้ยิน ชินหูสู่ยานความปราดเปรื่องคุยเขื่องว่ารู้ดี ถ้าผิดจากนี้ จากที่มีข้อมูล ที่รู้มา คือสิ่งตรงข้าม คือศัตรู คือสิ่งที่ต้องกำจัด
แล้วเมื่อถูกระบบที่วางไว้ให้การต่อท่อถ่ายทอดกันแบบรวดเร็วเช่นนี้ เราจึงเห็นการใส่ร้ายกันแบบใหม่เกิดขึ้นในทุกวัน การเอาดีใส่ตัวชั่วร้ายยกให้คนอื่นมีให้เห็นดาษดื่น การสร้างเรื่อง สร้างวาทกรรมก่อให้เกิดความชิงชังต่อความดีก็มีอยู่มาก การเอาความคิดตัวเองเป็นตัวตั้งต้นโดยไร้ราก ผุดขึ้นให้เห็นเต็มพื้นที่ ความหยาบคายในคำกล่าว คำพูดผ่านตัวอักษรเหมือนศรธนูที่ยิงออกไป แล้วแตกกระจายเพื่อบ่อนทำลายในวงกว้างมีให้เห็นเป็นประจำ ขบขำในความทุกข์ของผู้อื่น ดูถูกในความดี ไม่มีการสืบสานในต้นธารแห่งความงาม เพียงเห็นปลายลำธารที่น้ำนิ่งก็บ่นว่ากล่าวร้ายให้เสียหาย สังคมแบบนี้ดูเหมือนพัฒนาก้าวไปก็จริง แต่ถอยหลังกลับสู่ความดิบเถื่อนของคนที่ไม่มีสำนึกผิดติดตัว มันช่างแตกต่างกับการที่ว่าโลกพัฒนาเสียนี่กระไร หรือการพัฒนาของคนยุคเราหยุดแค่ที่การมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เอื้อต่อความสบายทางกาย แต่เรื่องจิตใจ เรื่องจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องพูดถึง

เอาเข้าจริง คนเรานั้นมีดีมีพลาดพลั้งคละเคล้ากันไป แต่ก็แปลก คนเรามักเอาความผิดพลาดของคนอื่นมาทำให้ตัวเองดูดี ดูเก่งขึ้น ในยุคสมัยใหม่เรากำลังเห็นการปล่อยพลังนิวเคลียร์ดิจิตอลใส่กันบนเครือข่ายโซเชียล แล้วเร่งให้มันขยายพันธุ์การทำลายให้สูงขึ้น โดยการป้อนชุดความคิดให้เชื่อถือข้อมูลด้านเดียวแบบเด็ดเดี่ยว สอนวิธีให้ปล่อย(คัด)วางรูปแบบสมัยใหม่ที่อันตรายและเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ปล่อยวางแบบหวังผล ให้คัดลอกแล้ววางคำพูดชุดเดิมไว้ในทุกที่ที่เข้าไป  หารู้ไม่ ทุกถ้อยคำหยาบคายนั้นได้ทำลายหัวใจแห่งรักและสันติลงอย่างสิ้นเชิง การกระทำแบบนี้ไร้ซึ่งความเมตตาและต่ำตมเป็นที่สุด ยิ่งกว่าทหารที่พูดจาประชดประชัน ถ่มน้ำลายรดหน้าพระเยซูเจ้าในกาลก่อนเสียอีก เพราะทหารยังทำต่อหน้าพระเยซู แต่คนวันนี้ทำแบบลับหลังไม่กล้าเผชิญหน้า
ในอีกด้านหนึ่งพลังนิวเคลียร์นี้ถ้าถูกนำมาใช้ในด้านดีจะมีประโยชน์มหาศาล สมมุติว่าถ้ามีใครทำไม่ดีใส่ร้ายกล่าวหา เราก็จะโกรธ หรืออาจจะเกลียดคน ๆ นั้นไปเลย ที่มีส่วนทำให้ชีวิตเราแย่ลง แต่...เราจะไม่ได้อะไร นอกจากความคิดในแง่ลบที่เกิดขึ้น และถ้าเราปล่อยให้มันเข้าครอบงำ ปล่อยให้มันบงการชีวิตเรา ชีวิตเราก็จะจมอยู่ในความคับแค้น ขัดขวางไม่ให้เรามีความสุขสันติ ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะใช้เหตุการณ์เหล่านี้มาทบทวน เรียนรู้จากมัน เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้แทนที่เราจะเกลียด ขุ่นเคือง ไม่พอใจ เราก็ลองเปลี่ยนไปให้อภัยคนที่ทำไม่ดีกับเรา แล้วเราจะปล่อยวางความคิดแง่ลบได้ ทำให้เรามีเวลาเอาไปคิดและทำสิ่งที่ดี ใช้สื่อดิจิตอลเป็นพลังด้านบวกเพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ สร้างสรรค์ความงามให้คงอยู่


เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะก้าวกลับมาเพื่อตั้งหลักกันใหม่ เพื่อการกลับคืนสู่บ้านอันถาวรของเราจะได้เป็นไปอย่างงดงาม เหมือนกับองค์พระอาจารย์ที่เสด็จสู่สวรรค์ด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ และเพื่อจะเป็นเช่นนั้น เราเริ่มต้นวันนี้ด้วยการให้ความรัก ให้อภัย ต่อกัน แล้วก็อย่าลืมให้อภัยตัวเองด้วย เราต่างก็เคยทำผิดพลาดกันมาทั้งนั้น บางทีเริ่มด้วยการถอยหลังเพื่อจะมุ่งทยานอย่างสมบูรณ์ก็เป็นหนทางที่น่าจะนำมาทบทวนมาร่วมกันสร้างสำนึกในมโนธรรม มาร่วมกันปลุกให้เสียงเตือนตนดังขึ้น เพื่อเราจะได้หยุดยั้งพลังการทำร้ายกันของวันที่ทันสมัยนี้ แล้วใช้อุปกรณ์ให้เป็นเครื่องมือนำความดีสู่ปวงชน ด้วยความอดทน ด้วยสายตาของคนที่เป็นศิษย์ของพระคริสต์รู้จักให้อภัย อย่าใจร้ายกับตัวเองมากเกินไป มองหาโอกาสเรียนรู้ฝึกฝนตนตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้าในความโชคดีของตัวเอง ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ขอบคุณในสิ่งที่เรามี เราเป็น และอย่าลืมว่าเราต้องเป็นคนที่ดีขึ้นทุก ๆ วัน พัฒนาชีวิตจิตวิญญาณเพื่อต้านภัย และขจัดขยะ กากนิวเคลียร์โซเชียล ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ให้ลดลงไปบ้าง..

ไม่มีความคิดเห็น: