วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เสียงแห่งยุคสมัย


เสียงแห่งยุคสมัย
ในค่ำคืนดึกสงัด กำลังจะเข้าสู่ภวังค์นิทราราตรีกาล ความเคลิบเคลิ้มถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคลื่นความถี่ต่ำ หึ่ง ๆ อยู่ข้างหู บางเวลาสลับเข้ามาจดจ่อในถ้ำแห่งการรับฟัง จนทำให้ห้วงยามที่กำลังจะหลับใหลต้องตื่นตัวโดยพลัน มือถูกสั่งการให้ปัดไปปัดมา แต่แล้ว...อีกสักพักเสียงนั้นก็กลับมาใหม่ ด้วยความขัดใจจึงตบเข้ากกหูตัวเอง ในความมืดเราก็จินตนาการตามทิศทางเสียงนั้นว่าต้องอยู่ตรงหูเรานี่แหละ แม่นยำแน่ ๆ เจ้ายุงรำคาญคงจะแบนคามือไปแล้ว อีกไม่นานมันก็ย้อนมาใหม่ ใจที่นิ่งสงบพร้อมรบขึ้นมาทันที เอาสิ เข้ามาสู้กันตัวต่อตัว พอเมื่อตั้งใจที่จะจัดการกับเจ้าก่อกวนตัวเล็ก ๆ แบบจริง ๆ จัง ๆ มันก็แอบหายไป ปล่อยให้เราต้องหงุดหงิด และเริ่มตั้งต้นกับการนอนหลับอีกครั้ง บางทีก็คิดนะ คนเรายิ่งใหญ่ คิดว่าชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่กับเจ้าเสียงของยุงตัวเล็กแบบนี้กว่าเราจะเอาชนะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “การชนะมาทุกอย่างย้ำให้ใจนั้นยิ่งกร่าง ให้เสียคน ให้คนอย่างฉันนั้นต้องคิดใหม่ สุดท้ายได้แต่มอง” บทเพลง เจ็บแต่ดี ของ อัสนี-วสันต์ โชติกุล ผุดขึ้นมา

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เหตุการณ์แบบนี้เราต่างเคยพบเจอกันมาไม่มากก็น้อย บางคนก็ใช้วิธีหาอะไรมาปิดหูเสีย เพื่อไม่ให้เจ้ายุงมีช่องทาง บางคนก็ใช้ความสว่างไล่บี้ไล่ขยี้ บางคนก็ทำเป็นไม่สนใจใยดี มีเสียงมาก็ปัดไปปัดมาเรื่อย ๆ ใครเหนื่อยก่อนก็ล่าถอยไปเอง หลายครั้งหลายคราวในชีวิตเรามักต้องพบเจอ ต้องล่าถอย ยอมแพ้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ทำให้เข้าใจเลยว่า การเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอไป บางทีทำสิ่งเล็กน้อยก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ...คนเรามักชอบที่จะทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่ด้วยการสร้างสิ่งใหญ่โตเสมอ และมักจะไม่มีใครยอมใคร ใครเร็วกว่า เก่งกว่า เห็นเป็นไม่ได้ ยิ่งวันนี้เราอาศัยความรวดเร็วชี้วัดความยิ่งใหญ่จนเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดเวลา จนทำให้ผู้คนไม่มีเวลาหยุดนิ่งเอาเสียเลย
ในสังคมแห่งความก้าวหน้าเรามักไม่มีเวลาที่จะมานิ่งสงบทบทวน ก่อนนอนเราก็อยู่กับความบันเทิง อยู่กับการส่องสาดสายตาไปกับคลื่นความเคลื่อนไหวของคนโน่นคนนี่ ฟังเสียงของคนดังคนเด่น ถูไถสไลด์ขึ้น ๆ ลง ๆ จนเมื่อยล้าสายตาถึงเวลาปล่อยวางข้างเตียง ตื่นขึ้นมาก็รีบไขว่คว้าหาข่าวสารใหม่ ๆ เพื่อให้ทันสมัย เพราะเดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ประเทืองสายตาด้วยสิ่งล่อสิ่งเร้า ที่นำเราเข้าสู่โลกแห่งความอยากได้
 สิ่งเล็ก ๆ สิ่งนี้ขาดเสียมิได้กับวิถีชีวิตประจำวัน สิ่งเล็ก ๆ ที่มีอิทธิพลมากที่สุดไปเสียแล้วสำหรับมนุษย์ยุคนี้ และนำมาซึ่งความขัดแย้งรูปแบบใหม่ สมาร์ตโฟนหรือโทรศัพท์มือถือถูกพัฒนาให้กลายเป็นสิ่งจำเป็น และสิ่งที่ทำให้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารนี้มีความรวดเร็วคือ “ชิป” ตัวเล็ก ๆ ที่ถูกฝังไว้ในเครื่อง ชิปตัวนี้นี่เองถูกค้นคิดพัฒนาจนทำให้เกิดการรับส่งข้อมูลสื่อสารอย่างปัจจุบันทันด่วน และยิ่งอีกไม่นานถ้าโลกพร้อมเข้าสู่ยุค 5G การสื่อสารกันยิ่งทวีความรวดเร็วขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เราจะมีเครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ เราจะมีหุ่นยนต์ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกควบคุมด้วยระบบอินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ที่ฝังชิป 5G ไว้ ประเทศไหนที่ทำชิปตัวนี้ได้ก่อน ย่อมจะได้รับประโยชน์และมีอิทธิพลที่สุดในโลก นี่จึงเป็นที่มาของสงครามการค้าระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ดังที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ มีการกีดกันสกัดกั้นเพื่อไม่ให้ชิปตัวนี้พัฒนาขึ้น (ถ้าไม่ใช่ประเทศของฉันเป็นคนทำมันขึ้นมา) สิ่งเล็ก ๆ นี้กำลังเขย่าขวัญของคนบนโลก และเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติของวิถีชีวิตผู้คน

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
มีการคาดการณ์กันว่าเรากำลังเข้าสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยีอย่างแท้จริง เราจะมีปัญญาประดิษฐ์ AI ที่ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อประมวลผลภายในด้วยระบบอัลกอริทึม เพียงเสี้ยววินาทีในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ปัญหาด้านสุขภาพ ปัญหาทางด้านเกษตรกรรม การเงิน การเดินทางสัญจร แม้กระทั่งการกินการอยู่ ดูว่าจะเป็นยุคที่ผู้คนจะสะดวกสบายขึ้น แต่ก็มักเกิดคำถามว่าแล้วเช่นนั้นคนเราจะทำอะไรเล่า? คำถามนี้เป็นความกังวล แต่เอาเข้าจริง เมื่อถึงเวลานั้นเราก็มีทางออกและวิธีการที่จะดำเนินดำรงอยู่ได้เองอย่างอัตโนมัติ โลกกำลังพัฒนาขึ้นไปแต่จะไปถึงจุดนั้นได้หรือเปล่า? เรายังไม่รู้คำตอบ เพราะมนุษย์เราไม่ยอมร่วมมือกันเพื่อพัฒนาโลกเพื่อโลกที่งดงาม แต่เรามุ่งพัฒนาโลกเพื่อโลภเสียมากกว่า ใครพัฒนาเกินหน้าเกินตาก็ต้องขัดแข้งขัดขา ใครดีกว่าตัวเองไม่ได้ เห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองแล้วมักจะหงุดหงิด ทำทุกอย่างให้คนนั้นต้องยอมน้อมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ แรงริษยานี่แหละที่เป็นชิปตัวเล็ก ๆ ฝังอยู่ในเราทุกคน แล้วก็กลายเป็นเสียงรำคาญให้กับการพัฒนาไม่ให้ก้าวหน้าต่อไป โลกไร้พรมแดนจึงเป็นยุคที่ไม่มีจิตวิญญาณ

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่ ยิ่งนิ่งยิ่งเงียบ เรามักจะได้ยินเสียงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น บ่อยครั้งเสียงภายในก็จะแว่วออกมาทักทายเราในช่วงเวลาสงบเงียบ หลายคนคงรำคาญและพยายามสะบัดให้หลุดไป หลายคนน้อมรับฟัง ทบทวนไตร่ตรองกับห้วงวันเวลาที่ผ่านมา มีบ้างบางครั้งต้องต่อสู้กับตัวเอง เอาชนะใจตัวเอง ไล่ล่า ไล่ขยี้ความคิดอันชั่วร้ายให้พ้นทาง เสียงนั้นย่อมมีความหมาย แต่จะมีสักกี่คนล่ะที่อยู่กับเสียงเตือนตนได้ สิ่งเล็ก ๆ เสียงน้อย ๆ ที่คอยเตือนเรา ให้เกิดมโนสำนึกที่ดี คือเสียงของพระจิตเจ้าในตัวเรา ที่จะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้สูงส่ง ให้มีความรักความเมตตากับทุกคน และจะทำให้เรามีความงามที่ส่องสว่างขจัดความมืดมน ลบรอยความเกลียดชัง หันมาร่วมมือร่วมใจกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้

ไม่มีความคิดเห็น: