เสียงแห่งยุคสมัย
ในค่ำคืนดึกสงัด กำลังจะเข้าสู่ภวังค์นิทราราตรีกาล ความเคลิบเคลิ้มถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคลื่นความถี่ต่ำ
หึ่ง ๆ อยู่ข้างหู บางเวลาสลับเข้ามาจดจ่อในถ้ำแห่งการรับฟัง
จนทำให้ห้วงยามที่กำลังจะหลับใหลต้องตื่นตัวโดยพลัน มือถูกสั่งการให้ปัดไปปัดมา แต่แล้ว...อีกสักพักเสียงนั้นก็กลับมาใหม่
ด้วยความขัดใจจึงตบเข้ากกหูตัวเอง ในความมืดเราก็จินตนาการตามทิศทางเสียงนั้นว่าต้องอยู่ตรงหูเรานี่แหละ
แม่นยำแน่ ๆ เจ้ายุงรำคาญคงจะแบนคามือไปแล้ว อีกไม่นานมันก็ย้อนมาใหม่
ใจที่นิ่งสงบพร้อมรบขึ้นมาทันที เอาสิ เข้ามาสู้กันตัวต่อตัว
พอเมื่อตั้งใจที่จะจัดการกับเจ้าก่อกวนตัวเล็ก ๆ แบบจริง ๆ จัง ๆ มันก็แอบหายไป
ปล่อยให้เราต้องหงุดหงิด และเริ่มตั้งต้นกับการนอนหลับอีกครั้ง บางทีก็คิดนะ คนเรายิ่งใหญ่
คิดว่าชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้
แต่กับเจ้าเสียงของยุงตัวเล็กแบบนี้กว่าเราจะเอาชนะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “การชนะมาทุกอย่างย้ำให้ใจนั้นยิ่งกร่าง
ให้เสียคน ให้คนอย่างฉันนั้นต้องคิดใหม่ สุดท้ายได้แต่มอง” บทเพลง เจ็บแต่ดี ของ
อัสนี-วสันต์ โชติกุล ผุดขึ้นมา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
เหตุการณ์แบบนี้เราต่างเคยพบเจอกันมาไม่มากก็น้อย
บางคนก็ใช้วิธีหาอะไรมาปิดหูเสีย เพื่อไม่ให้เจ้ายุงมีช่องทาง
บางคนก็ใช้ความสว่างไล่บี้ไล่ขยี้ บางคนก็ทำเป็นไม่สนใจใยดี มีเสียงมาก็ปัดไปปัดมาเรื่อย
ๆ ใครเหนื่อยก่อนก็ล่าถอยไปเอง หลายครั้งหลายคราวในชีวิตเรามักต้องพบเจอ ต้องล่าถอย
ยอมแพ้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ทำให้เข้าใจเลยว่า การเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอไป
บางทีทำสิ่งเล็กน้อยก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ...คนเรามักชอบที่จะทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่ด้วยการสร้างสิ่งใหญ่โตเสมอ
และมักจะไม่มีใครยอมใคร ใครเร็วกว่า เก่งกว่า เห็นเป็นไม่ได้
ยิ่งวันนี้เราอาศัยความรวดเร็วชี้วัดความยิ่งใหญ่จนเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดเวลา
จนทำให้ผู้คนไม่มีเวลาหยุดนิ่งเอาเสียเลย
ในสังคมแห่งความก้าวหน้าเรามักไม่มีเวลาที่จะมานิ่งสงบทบทวน
ก่อนนอนเราก็อยู่กับความบันเทิง อยู่กับการส่องสาดสายตาไปกับคลื่นความเคลื่อนไหวของคนโน่นคนนี่
ฟังเสียงของคนดังคนเด่น ถูไถสไลด์ขึ้น ๆ ลง ๆ
จนเมื่อยล้าสายตาถึงเวลาปล่อยวางข้างเตียง ตื่นขึ้นมาก็รีบไขว่คว้าหาข่าวสารใหม่ ๆ
เพื่อให้ทันสมัย เพราะเดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ประเทืองสายตาด้วยสิ่งล่อสิ่งเร้า
ที่นำเราเข้าสู่โลกแห่งความอยากได้
สิ่งเล็ก ๆ สิ่งนี้ขาดเสียมิได้กับวิถีชีวิตประจำวัน
สิ่งเล็ก ๆ ที่มีอิทธิพลมากที่สุดไปเสียแล้วสำหรับมนุษย์ยุคนี้
และนำมาซึ่งความขัดแย้งรูปแบบใหม่ สมาร์ตโฟนหรือโทรศัพท์มือถือถูกพัฒนาให้กลายเป็นสิ่งจำเป็น
และสิ่งที่ทำให้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารนี้มีความรวดเร็วคือ “ชิป” ตัวเล็ก ๆ
ที่ถูกฝังไว้ในเครื่อง
ชิปตัวนี้นี่เองถูกค้นคิดพัฒนาจนทำให้เกิดการรับส่งข้อมูลสื่อสารอย่างปัจจุบันทันด่วน
และยิ่งอีกไม่นานถ้าโลกพร้อมเข้าสู่ยุค 5G การสื่อสารกันยิ่งทวีความรวดเร็วขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
เราจะมีเครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ เราจะมีหุ่นยนต์ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกควบคุมด้วยระบบอินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ที่ฝังชิป
5G ไว้ ประเทศไหนที่ทำชิปตัวนี้ได้ก่อน ย่อมจะได้รับประโยชน์และมีอิทธิพลที่สุดในโลก
นี่จึงเป็นที่มาของสงครามการค้าระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ดังที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้
มีการกีดกันสกัดกั้นเพื่อไม่ให้ชิปตัวนี้พัฒนาขึ้น
(ถ้าไม่ใช่ประเทศของฉันเป็นคนทำมันขึ้นมา) สิ่งเล็ก ๆ นี้กำลังเขย่าขวัญของคนบนโลก
และเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติของวิถีชีวิตผู้คน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
มีการคาดการณ์กันว่าเรากำลังเข้าสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยีอย่างแท้จริง
เราจะมีปัญญาประดิษฐ์ AI ที่ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อประมวลผลภายในด้วยระบบอัลกอริทึม
เพียงเสี้ยววินาทีในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ปัญหาด้านสุขภาพ ปัญหาทางด้านเกษตรกรรม
การเงิน การเดินทางสัญจร แม้กระทั่งการกินการอยู่ ดูว่าจะเป็นยุคที่ผู้คนจะสะดวกสบายขึ้น
แต่ก็มักเกิดคำถามว่าแล้วเช่นนั้นคนเราจะทำอะไรเล่า? คำถามนี้เป็นความกังวล แต่เอาเข้าจริง
เมื่อถึงเวลานั้นเราก็มีทางออกและวิธีการที่จะดำเนินดำรงอยู่ได้เองอย่างอัตโนมัติ
โลกกำลังพัฒนาขึ้นไปแต่จะไปถึงจุดนั้นได้หรือเปล่า? เรายังไม่รู้คำตอบ เพราะมนุษย์เราไม่ยอมร่วมมือกันเพื่อพัฒนาโลกเพื่อโลกที่งดงาม
แต่เรามุ่งพัฒนาโลกเพื่อโลภเสียมากกว่า ใครพัฒนาเกินหน้าเกินตาก็ต้องขัดแข้งขัดขา
ใครดีกว่าตัวเองไม่ได้ เห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองแล้วมักจะหงุดหงิด
ทำทุกอย่างให้คนนั้นต้องยอมน้อมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ แรงริษยานี่แหละที่เป็นชิปตัวเล็ก
ๆ ฝังอยู่ในเราทุกคน
แล้วก็กลายเป็นเสียงรำคาญให้กับการพัฒนาไม่ให้ก้าวหน้าต่อไป โลกไร้พรมแดนจึงเป็นยุคที่ไม่มีจิตวิญญาณ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ใช่หรือไม่ ยิ่งนิ่งยิ่งเงียบ เรามักจะได้ยินเสียงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น บ่อยครั้งเสียงภายในก็จะแว่วออกมาทักทายเราในช่วงเวลาสงบเงียบ
หลายคนคงรำคาญและพยายามสะบัดให้หลุดไป หลายคนน้อมรับฟัง
ทบทวนไตร่ตรองกับห้วงวันเวลาที่ผ่านมา มีบ้างบางครั้งต้องต่อสู้กับตัวเอง
เอาชนะใจตัวเอง ไล่ล่า ไล่ขยี้ความคิดอันชั่วร้ายให้พ้นทาง
เสียงนั้นย่อมมีความหมาย แต่จะมีสักกี่คนล่ะที่อยู่กับเสียงเตือนตนได้ สิ่งเล็ก
ๆ เสียงน้อย ๆ ที่คอยเตือนเรา ให้เกิดมโนสำนึกที่ดี คือเสียงของพระจิตเจ้าในตัวเรา
ที่จะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้สูงส่ง ให้มีความรักความเมตตากับทุกคน
และจะทำให้เรามีความงามที่ส่องสว่างขจัดความมืดมน ลบรอยความเกลียดชัง
หันมาร่วมมือร่วมใจกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น