วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลืมต้น

ลืมต้น
ส้มโอที่มีคนในบ้านนำมาฝากผ่านไปหลายวัน ผิวเริ่มมีสีเหลือง ๆ คงจะใกล้เวลาได้ลิ้มรสเสียที ตอนแรกที่ได้เห็นคนที่นำมาบอกว่าต้องรอให้มันลืมต้น ก็คิดสงสัยในใจว่าจะต้องใช้เวลานานกี่วันกว่าจะถึงจุดนั้น ในขณะพิจารณาส้มโออยู่ หน้าจอสื่อโซเชี่ยลก็เต็มไปด้วยข่าวของคนกลุ่มหนึ่งหลากหลายอายุที่ไปร่วมการบวชเพื่อนฝูง เมาได้ที่ อาศัยคนเยอะความเก่งความห้าวห้ามไม่อยู่ก็บังเกิด ออกไปอาละวาดกับเด็กที่นั่งสอบ ทุกคนที่เห็นข่าวนี้ก็คงได้แต่ส่ายหัวและสาปส่ง ด้วยความโมโหที่เห็นความกร่างของคนรุ่นใหม่ใจกระด้าง ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สะทกสะท้านคิดว่าโลกใบนี้ฉันและพวกฉันนี่แหละคือผู้ครอบครอง สมองไร้การควบคุม ถูกขัดใจหน่อยก็ปล่อยความเป็นสารพัดสัตว์ออกจากตัวตน คนประเภทนี้มีมากมายในสังคมวันนี้


เหตุไฉนไยเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ เพราะคนเราไม่ได้ใฝ่เรื่องจิตใจกัน ให้เรื่องเศรษฐกิจนำทุกสิ่ง ถูกปลูกฝังต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องให้ได้ดังใจ ทุกคนมีแต่กระตุ้น ๆ และก็กระตุ้น ว่าชีวิตที่ดีต้องมีเงินเต็มกระเป๋า ต้องมีหนี้เป็นทุน ต้องเป็นหุ่นยนต์ขายแรงในตลาด ต้องจับจ่ายต้องได้รับสวัสดิการ แต่... จะมีสักกี่คนที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตในเรื่องจิตใจ ที่ผ่านมาแทบไม่มีให้เห็น เราไปมีอย่างอื่นในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น มีการพัฒนาในรูปของการพัฒนากายภาพที่เติบโต แต่เราไม่มีแบบแผนในเรื่องสังคมคุณธรรมกันเลย
พูดแบบตรง ๆ จริง ๆ สังคมบ้านเรานั้นยังมีความหวังอยู่ เพราะผู้คนส่วนมากพยายามที่จะเป็นคนที่ดีและก็พร้อมในการลุกขึ้นมาทำความดี เพียงแต่ว่ายังไร้ทิศไร้ทาง ที่จะร่วมมือกันเพื่อจะเอาชนะสิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ดี เราจะต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อน ฝึกฝนคุณธรรมง่าย ๆ มีพฤติกรรมที่ดี ละเว้นชั่ว หยุดหลอกตัวเอง หยุดที่จะมีแต่หลักการหลักกู แต่หลักธรรมกลับละเลย ทำให้ครอบครัว ชุมชน สังคม มุ่งเน้นคุณค่าของพระธรรมคำสอนที่แท้จริง อย่านำหลักวัดมาตรฐานทางเศรษฐศาสตร์มาชี้วัดทางด้านศาสนา ต้องแยกแยะให้ออก อย่าสร้างโลกสองใบให้มีมาตรฐานเดียวกันหมั่นสอนและปลูกฝังให้เด็ก ๆ รู้ความสำคัญของชีวิตภายใน ที่สงบ ที่เรียบง่าย เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ มันต้องผ่านกาลเวลาในการขัดเกลา ต้องให้ลืมต้นแห่งความเห็นแก่ตัว ถ้ายังยึดติดยึดเกาะมันก็เน่าคาต้น คงเป็นเศษซากให้สัตว์แมลงแทะกัดกิน

เราเห็นข่าวเช่นนี้ก็ใช่แต่จะไปโทษนั่นโทษนี่ ไปแสดงอารมณ์ใส่ผู้คนเหล่านั้น เราควรที่จะต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาชีวิตจิต ชีวิตภายในของกันและกันให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์และความขุ่นมัวมาทำให้จิตเราต่ำตมลงไป จนลืมตัวแทนที่จะลืมต้นแห่งตน มีตัวอย่างเล็ก ๆ วิธีคิดของหญิงคนหนึ่งที่มองชีวิตผู้คนอย่างเห็นคุณค่า มองเห็นวิธีที่จะทำให้ลืมต้นของบาปได้ เรื่องนี้เป็นจริงที่ทำแล้วเกิดผลอย่างงดงาม 
หลายปีก่อนมีคดีหนึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา วัยรุ่นอายุ 14 ปียิงเด็กหนุ่มคนหนึ่งถึงแก่ความตายเพียงเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อน ๆ ในแก๊งเห็น ทุกนัดที่มีการสืบพยานในศาล แม่ของผู้ตายนั่งฟังการพิจารณาอย่างนิ่งเงียบ หลังจากที่ศาลตัดสินจำคุกวัยรุ่นผู้นั้น แม่ของผู้ตายเดินเข้าไปหาเขา จ้องหน้าและพูดว่า “ฉันจะฆ่าเธอ”
ผ่านไปครึ่งปี หญิงผู้นั้นก็ไปเยี่ยมคนที่ฆ่าลูกชายเธอ เธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ไปเยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีญาติพี่น้อง ก่อนที่จะจากกัน เธอให้เงินเขาเป็นค่าใช้จ่าย แล้วเธอก็เริ่มไปเยี่ยมเขาบ่อยขึ้น แต่ละครั้งก็เอาอาหารและของฝากไปให้ เมื่อใกล้ครบกำหนดจำคุกสามปี หญิงผู้นั้นก็ถามเขาว่าจะทำอะไรเมื่อพ้นโทษ เขาตอบว่า “ไม่รู้” เธอจึงหางานให้เขาทำในบริษัทของเพื่อน ครั้นถามว่าเขามีที่พักไหม ก็ได้คำตอบว่า “ไม่มี” เธอจึงชวนเขามาพักในบ้านของเธอ บ้านของเด็กที่เขาฆ่ากับมือ
ตลอดแปดเดือนเขาพักบ้านเธอ กินอาหารที่เธอทำ แล้วเย็นวันหนึ่งเธอก็เรียกเขาไปคุยในห้อง เธอนั่งประจันหน้าเขา นิ่งเงียบพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “เธอจำได้ไหมตอนที่อยู่ในศาล ฉันพูดว่าจะฆ่าเธอ?” “จำได้ครับ” “ฉันไม่ต้องการเห็นคนที่ฆ่าลูกฉันยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องการให้เขาตาย เพราะเหตุนั้นแหละฉันจึงไปเยี่ยมเธอและเอาของไปให้ เพราะเหตุนี้แหละฉันจึงหางานให้เธอและให้เธออยู่บ้านฉัน” ถึงตรงนี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น
 แล้วแม่ของผู้ตายก็พูดต่อไปว่า “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเธอ ตอนนี้เจ้าวัยรุ่นคนนั้นก็จากไปแล้ว ฉันจะถามเธอล่ะทีนี้ว่า ลูกของฉันจากไปแล้ว เจ้าฆาตกรก็จากไปแล้วเช่นกัน เธอยังจะอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า ฉันอยากรับเธอเป็นลูกหากเธอไม่ว่าอะไร” ในที่สุดเธอได้กลายเป็นแม่ของคนที่ฆ่าลูกเธอ ส่วนฆาตกรผู้หลงผิดก็ได้แม่ ซึ่งเขาไม่มีมาก่อนในชีวิต

แน่ละ การให้อภัยคนที่ทำร้ายดวงใจของคนเป็นพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่าย ๆ แต่ก็สามารถบ่มเพาะกันได้ เป็นความจริงแท้ที่ต้นไม้ดีย่อมให้ผลดี แต่จะให้ดียิ่งขึ้นผลนั้นต้องได้รับการบ่ม และใช้เวลาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรามาใช้ความรักความจริงใจเข้าหากัน เราก็จะได้ผลที่ดีงาม ลืมต้นแห่งตน โดยมิลืมต้นแห่งรัก เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ เพื่อทำให้สังคมเจริญวัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป

ไม่มีความคิดเห็น: