ไม่จำเป็นเลย
ในช่วงระยะนี้รถหาเสียงคงวิ่งไปตามตรอกซอกซอยกันบ่อยมาก
ในซอยหน้าบ้านก็เห็นแทบทุกวัน ทุกคันของแต่ละพรรคก็จะเปิดเสียงพูดถึงคุณสมบัติของผู้สมัคร
มีนโยบายที่ฟังได้ยินเพียงไม่ถึงข้อรถก็ผ่านไป
มีเพลงประจำพรรคที่ต่างแต่งขึ้นมาเพื่อช่วยในการหาเสียง แรก ๆ ก็รู้สึกว่าคึกคักดี
เป็นอีกบรรยากาศที่แตกต่างไปจากวิถีประจำวัน
แต่ครั้นเมื่อได้อ่านข่าวติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองตามหน้าสื่อในโซเชี่ยลแล้วเริ่มคิดว่า
ทำไมการหาเสียงต้องมีการกล่าวหากันไปมา ต้องก้าวร้าวใส่กันเช่นนี้หรือ!!! น่าจะมีความสร้างสรรค์ได้มากกว่านี้
โดยไม่มุ่งแต่จะโจมตีกัน แทนที่เราจะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน กลายมาเป็นเส้นทางสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่
แต่ก็อย่างว่าแหละ อะไรล่ะที่น่าจะเรียกกระแสได้มากกว่ากัน คงเป็นเรื่องในแง่ร้าย
ๆ เพื่อเรียกแขก เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนและยุยงให้เกิดการโต้เถียงกัน เพื่อสร้างแบรนด์
นี่อาจจะเป็นการตลาดการโฆษณาแนวใหม่ ที่สอดแทรกมากับการหาเสียงในยุคดิจิตอล ต่างคนต่างสาดใส่กัน ต่างคนต่างงัดข้อเสียฝ่ายตรงข้าม ต่างคนต่างคิดว่าของเราดีเลิศ
เช่นนี้แล้ว ทำให้คิดถึงรถซื้อของเก่าที่มีเสียงไม่ดังอึกกระทึก พูดไม่มาก ตรงประเด็น
มีความน่าฟังขึ้นมาทันที
เราไม่จำเป็นต้องดูถูกคนอื่น
ว่าด่าคนอื่นที่คิดเห็นไม่เหมือนเราว่า “โง่” ว่า“โบราณ” เรามีสิทธิ์ชอบ มีสิทธิ์เลือกตามข้อมูล ตามทัศนคติ ตามรสนิยม ตามความชอบไม่ชอบ
แต่ไม่จำเป็นต้องเอาสิทธิ์ไปยัดเยียดเบียดบังความคิดเห็นผู้อื่น เราต่างก็ปรารถนาให้สังคมสงบสันติ
แต่วิธีการที่ทำกันอยู่นี้กลับยิ่งเพิ่มเติมความขัดแย้ง
เลี่ยงได้ก็เลี่ยงในการสนทนาที่จะพาไปสู่ความขัดแย้งโต้เถียงกัน
เลี่ยงได้ก็เลี่ยงที่จะไม่เลือกเสพสื่อเพียงสิ่งที่เราชอบ ใช้สมองวิเคราะห์แล้วใช้จิตวิญญาณสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้มาก
ๆ รับฟังด้วยการเปิดใจ แล้วจึงค่อยตัดสินใจ และอย่าเอาเป็นเอาตายกับการเมืองมากนัก
ชีวิตเรามีอะไรให้ทำอีกเยอะ การพัฒนาที่แท้จริงมันอยู่ที่เราแต่ละคนนี่แหละ
หากช่วยกันพัฒนาชีวิตให้มีคุณธรรม ประเทศชาติก็จะมีคุณภาพขึ้นมาเอง
เอาเวลาที่โต้เถียงกันไปสร้างสรรค์ชีวิต เอาเวลาที่ฝักใฝ่กับข้อมูลฝ่ายเดียวไปนั่งรำพึงตรึกตรองหาความหมายของชีวิตให้เจอมิดีกว่าหรือ
เพื่อว่าในวันที่เกิดพบเจอปัญหาจะได้มีปัญญาในการแก้ไข
นิ่งสงบบ้างเพื่อเราจะได้ยินเสียงเก่า ๆ เสียงที่เตือนเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เสียงที่อาจจะไม่ไพเราะ แต่นั่นคือเสียงสวรรค์ที่จะนำไปสู่การไขปัญหาให้เราได้
มีนักบวชมิชชันนารีท่านหนึ่งที่เคยเล่าให้ฟังว่า
ในสมัยก่อน บรรดาคุณพ่อและนักบวชชายหญิงที่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนคาทอลิกนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
กว่าจะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะนำบุตรหลานมาเรียนนั้น
ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความมีเมตตาและความอดทนอย่างยิ่ง
แต่ที่ยิ่งยากกว่านั้นคือเวลาเกิดปัญหาที่ต้องตัดสินความผิดความถูกของความขัดแย้งหรือต้องตัดสินปัญหาใหญ่
ๆ ว่าจะทำอย่างไร เช่น จะลงโทษเด็กที่เกเรอย่างไร? สิ่งแรกที่พวกท่านทำคือ การใช้เวลาอยู่ในวัดสงบ
ๆ สวดภาวนาขอพระให้ช่วยเหลือ ใช้จิตวิญญาณการไตร่ตรอง ใช้สมองให้น้อย
แล้วทุกปัญหาก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดีเสมอ ใช่หรือไม่
ทุกวันนี้เรามักตัดสินด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เอาอารมณ์นำหน้าเหตุผล หรือไม่ก็ใช้ความมีตำแหน่งแห่งตนเหนือเหตุผลความผิดถูก
ใช้ข้ออ้างของความยุติธรรมเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์
ขาดการปรึกษาและพูดคุยกับจิตวิญญาณของเราอย่างจริงจัง หยุดฟัง หยุดพร่ำ
หยุดที่จะให้ใครต่อใครทำตามใจปรารถนาของเรา หยุดที่จะขีดขอบเขตความเป็นบุตรพระเจ้า
เพราะเราเกิดมาพร้อมกับความรักและอิสระเสรีในการเลือกหนทาง
เราอาจจะแค่ช่วยชี้แนะนำ แต่การเลือกทางเดินทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพ
สำคัญสุดการเคารพซึ่งกันและกันต่างหากที่จะนำสันติมาสู่หัวใจของทุกคน
มนุษย์มักชอบแบ่งแยกที่นำไปสู่การแตกแยก
ชอบแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 พวก คือ พวกเรา และพวกเขา โดยยึดถือเพียงว่า
พวกเราคือคนอย่างผม อย่างฉัน ที่ชอบอะไรในทิศทางเดียวกัน ที่ใช้ภาษา ศาสนา และปฏิบัติตามธรรมเนียมเดียวกัน
พวกเราต่างก็มีความรับผิดชอบต่อกัน แต่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อพวกเขา
พวกเราไม่ต้องการเห็นพวกเขาในอาณาเขตของพวกเรา และพวกเรามักแอบมองแอบดูแอบฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของพวกเขา
บางทีก็คิดไปว่าพวกเขานับว่าไม่มีความเป็นคนเสียด้วยซ้ำไปทั้งที่เราแต่ละคนย่อมมีหัวใจเหมือนกัน
มีความรักเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องแยกเราแยกเขาเลย
ความไม่สงบคงมาจากสิ่งเหล่านี้
อย่าปล่อยให้ความรักความเมตตาในหัวใจเราต้องนอนนิ่งอยู่เฉย
ๆมีอคติต่อความคิดคนอื่น ปลุกให้ความรักและเมตตาฟื้นขึ้นมา
เพื่อที่จะใช้เยียวยาตัวเราเอง ที่พร้อมจะรับฟังทุกเสียง แล้วให้เสียงพระที่ผ่านมาทางมโนธรรมผ่านจิตสำนึกที่จะบอกเราว่าควรเลือกหนทางเดินไหน
อย่านำเอาอารมณ์เป็นเครื่องตัดสินใจ เพราะผลลัพธ์มันก็ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่งกลับคืนมา
การให้อภัยต่อกัน เข้าใจกัน พูดดีต่อกัน ฟังกัน อย่าดื้อรั้นบนความคิดตัวเองฝ่ายเดียว
เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่จะแสดงออกถึงการเป็นศิษย์พระคริสต์
ผู้ที่ทรงสอนเราให้รู้จักที่จะรัก โดยไม่จำเป็นที่จะได้เป็นที่รักของทุกคนการเมืองเป็นเรื่องของระบบแบบแผน
แต่เรื่องความรักคือชีวิตทั้งชีวิตของเราทุกคน
เราจำเป็นต้องมีหัวใจแห่งความรักและเมตตา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น