วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562

พิเศษ


พิเศษ
มีเวลาได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเช็คระบบร่างกาย ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เข้าเช็คอย่างจริง ๆ จัง ๆ ผลคือมีส่วนเกินหลายอย่างที่มากเกินไปและอาจจะนำไปสู่โรคภัยในวันข้างหน้า คุณหมอแนะนำว่าต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน งด ลด บางสิ่งบางอย่าง ระหว่างเดินทางกลับก็คิดถึงคำพูดที่ได้ยินมาบ่อยๆว่า “เรากินอะไรเราก็เป็นแบบนั้น” ก็แสดงว่าเราเริ่มสะสมมากเกินไปแล้วใช่ไหม? เราปล่อยปละละเลยกับการเป็นอยู่มากไปหรือไม่? นี่เป็นเวลาที่ต้องมาใส่ใจกับร่างกายเพื่อไม่สะสมเกินตัว  ประจวบเหมาะกับในช่วงเทศกาลมหาพรตพอดิบพอดี จึงถือโอกาสนี้เคร่งครัด เอาจริงเอาจังในเรื่องการกินการอยู่ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

มนุษย์เรากินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน แต่เอาเข้าจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เราถูกกระแสบริโภคนิยมปลูกฝังให้ตระเวนหาของกินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ร้านไหนใครว่าอร่อยต้องไปลอง ร้านไหนเค้าว่าเด็ดก็ต้องดั้นด้นไปให้ถึง กลายเป็นรสนิยมที่ดูดีขึ้นมาทันที บางร้านยังมีแบบพิเศษให้เลือกหา เพิ่มนี่นิดนั่นหน่อย ทำไปทำมาในร่างกายเราจึงเกิดส่วนเกินที่ไม่จำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ  หรือบางครั้งเรากินเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการด้วยความอร่อยปาก หลายครั้งหลายหนเราก็กินทิ้งกินขว้าง แบบนี้แล้วเราจะมีสุขภาพดีได้อย่างไร หากยังดิ้นรนแสวงหาของอร่อยกินอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้แล้ว ในยุคปัจจุบันเรายังมีการบริโภคข่าวสารข้อมูลมากเป็นพิเศษอีกด้วย และเราก็มักจะเลือกรับข้อมูลที่เข้าข้างทัศนคติของตัวเองเป็นพิเศษ ปิดกั้นข้อมูลอื่นด้วยการมีอคติ หนำซ้ำเรายังเที่ยวกล่าวกันไปมาว่าไม่ยอมหาข้อมูล ไม่หัดเปิดโลกเชื่อในข้อมูลอื่นบ้าง ต่างคนต่างยึดโยงสิ่งที่เราเชื่อเราศรัทธาในข้อมูลนั้น ๆ อย่างจริงจัง และพร้อมที่จะทำตามทุกอย่าง (ยกเว้นข่าวดีพระวาจาของพระเจ้า ที่ไม่ค่อยมีใครนำไปปฏิบัติตาม) บางทีข้อมูลที่เราเกาะกุมไว้นั้นมันใช่ความจริงแท้หรือเปล่า แม้แต่ทฤษฎีต่าง ๆ ในโลกยังล้วนแต่มีวันเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ ข้อมูลนั้นหาได้ไม่ยากแต่ข้อเท็จจริงนั้นมักถูกข้อมูลและอคติปิดกั้นข้อมูลได้มาอย่างง่ายดาย แต่เสียดายความจริงนั้นยากยิ่งนักในทุกวันนี้ เพราะอะไร? เพราะว่าเราฟังกันไม่เป็น เราไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมรับรู้ ในสิ่งที่ไม่ตรงกับความเห็นของเรา เราชอบที่จะเอาตัวเองเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อทุกคนคิดกันเช่นนั้นก็ไม่มีการยอมรับกันและกัน ชุมชนเลยแยก ครอบครัวเลยแตก ที่สุดชีวิตเราก็ย่ำแย่ลงไป
ได้เห็นประโยคภาษอังกฤษอันหนึ่งที่ว่า “ When the ears are put side by side it forms the shape of the heart.Interestingly, the word 'ear' sits right in the middle of the word 'heart'(h-ear-t).The ear is the way to the heart, so if you want to win someone's heart, learn to listen to them.If you want God’s heart learn to listen to him.” ซึ่งแปลได้ว่า “เมื่อเอาหูสองข้างมาวางข้าง ๆ กัน เราก็จะเห็นรูปร่างคล้ายหัวใจ ที่น่าสนใจคือ คำว่า ear (หู) จะอยู่ตรงกลางของคำว่า Heart (หัวใจ) ดังนั้นแล้ว หู จึงเป็นหนทางที่จะนำพาไปสู่ หัวใจ หากเราต้องการได้ใจใครสักคนจงเรียนรู้ที่จะฟังเขา”

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

โลกที่ขาดการรับฟังซึ่งกันและกันเป็นโลกที่สะสมความเห็นแก่ตัว ไม่ช้าก็จะนำโรคร้ายมาสู่สังคม สู่ชุมชน สู่ครอบครัว ผู้ใหญ่หากต้องการให้เด็ก ๆ ยอมรับก็แค่รู้จักที่จะหยุดฟังพวกเขาก่อนบ้าง พ่อแม่ที่ดีไม่ใช่แค่มีเงินทองให้ลูกใช้จ่ายเท่านั้น แต่ต้องเป็นที่ปรึกษาที่พร้อมจะให้ลูกเข้าหาได้ตลอดเวลา ต้องเป็นคนพิเศษที่ลูกต้องคิดถึงเป็นคนแรก ๆ ในยามพบเจอปัญหา วันนี้เราต่างไปรับฟังรับรู้ข้อมูลอื่นก่อนที่จะรับฟังรับรู้สิ่งใกล้ตัว เราจึงหมดใจต่อกัน
บางทีชีวิตเราก็มักจะหลงไป และถูกล่อลวงด้วยการสร้างวาระพิเศษต่าง ๆ ขึ้นมา ความพิเศษจากการท่องเที่ยว ความพิเศษจากการดื่มกิน จากการซื้อของที่มีราคาแพง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความพิเศษที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่มีชีวิตซับซ้อนและสะสมจนเกินไป บางทีเรามีชีวิต เรามีความงามจากสิ่งพื้น ๆ ธรรมดา ๆ อยู่แล้ว ลองทำกิจวัตรประจำวันของเราให้กลายเป็นความพิเศษ เราจะกลายเป็นผู้มีชีวิตสงบท่ามกลางความวุ่นวายของสังคม ใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องทำในชีวิตมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ที่เหลือล้วนเป็นสิ่งที่เราทำเพื่อสนองกิเลสของตนเองทั้งนั้น

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

เป็นที่น่าแปลกใจ ในทุก ๆ ศาสนา ทุก ๆ ความเชื่อ ล้วนแต่มีช่วงเวลาพิเศษ เพื่อให้ศาสนิกชนได้ลดละกิเลสตัวเอง ศาสนาพุทธมีช่วงเข้าพรรษารักษาศีล อิสลามมีช่วงรอมฎอนถือศีลอด ชาวจีนก็มีช่วงเวลากินเจ เราชาวคริสต์มี 40 วันของเทศกาลมหาพรต จึงเป็นช่วงเวลาพิเศษที่เราจะต้องดูแลตัวเองให้สมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ชำระเพื่อให้สะอาด ลดการสะสม และสละสิ่งเหล่านั้นเพื่อผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัวด้วยการรับฟังคนอื่นบ้าง สร้างสังคม ชุมชน ครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ทุกคนต่างโดดเดี่ยว ซึ่งแท้จริงแล้วเราต่างก็เป็นพี่น้องด้วยกันทั้งนั้น เปิดหูเปิดใจ รับสิ่งดี ๆ คัดกรองความงามของกันและกัน สร้างสรรค์ให้เกิดความร่มเย็นต่อกัน จาก 40 วันจะกลายเป็นความนิรันดร์ที่ยั่งยืนตลอดไป

ไม่มีความคิดเห็น: