เมื่อบางอย่างหายไป
ท้องฟ้าวันนี้
บ่ายวันอังคาร อยู่ ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป
ดูขมุกขมัวไปทั่วทั้งเมือง ทั้ง ๆ
ที่เมื่อเย็นวันจันทร์ตอนไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใต้สะพานแขวน
แล้วก็มานั่งชื่นชมแสงทองของยามเย็น พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า
ส่องแสงสะท้อนกับพื้นน้ำ ท้องฟ้าบางขณะยังแบ่งข้างแบ่งฝ่ายเป็นสองสี ฝั่งหนึ่งสีฟ้าคราม
ฝั่งหนึ่งสีทองอำไพ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้มายืดแข้งยืดขาที่นี่ จำต้องแวะเวียนมายลโฉมสูดลมกลิ่นน้ำริมเจ้าพระยา
แต่แล้ว...เมื่อบ่ายวันอังคารสีสันสวยงาม แสงทองยามเย็นเหล่านั้นกลับหายไป
เหมือนมีใครมาขโมยพระอาทิตย์ไป เหมือนมีใครมาแกล้งเอาผ้าผืนใหญ่มาบดบังแสงตะวัน
มีเพียงความหมองมัวดูจะหงอย ๆ เศร้า ๆ อย่างไรชอบกล
แต่…นี่เป็นธรรมชาติที่บ่งบอกถึงกาลเวลา ลักษณะอย่างนี้เราย่อมรู้ดีว่า ฤดูกาลแห่งลมหนาวกำลังกลับมาเยือนอีกครั้ง
และจะหนาวนาน จะเย็นสักกี่วัน ก็สุดจะคาดเดา เพราะบางปีฤดูหนาวก็หายไปจากเราอย่างไร้ร่องรอย
ในเช้าวันพุธอากาศเริ่มเย็นลง
หลายคนดีใจที่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ แต่ท้องฟ้าก็ยังคงสลัว ๆ ไม่ว่าท้องฟ้าจะสดใส
มืดมน ท้องฟ้าก็ยังคงความงามไว้ได้เสมอ ท้องฟ้าไม่เคยหายไปไหน
เพียงแต่จะเปลี่ยนไปในทุกวันเวลา ท้องฟ้าผืนเดิม แต่ไม่เคยเหมือนกันสักวัน
ความแน่นอนจึงมีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่ บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน
แต่เราก็มีท้องฟ้าอยู่คู่โลกและจักรวาลตราบจนวันนี้
ท้องที่ชีวิต
ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นมันไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งบนความสัมพันธ์อันเปราะบางของผู้คนสมัยนี้
ยิ่งน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง ในวันเวลาที่เปลี่ยนผ่าน ยิ่งเติบโตยิ่งดูเหมือนจะโดดเดี่ยว
แต่กลับแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อนฝูงน้อยลงแต่เหนียวแน่นกับบางคนมากกว่าเดิม ใจเย็นลง
มองเห็นผู้คนอื่นอย่างเข้าใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่หายไป
แต่ความทรงจำนั้นตราตรึงอยู่เสมอ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวมาก็มาก
ถูกหลอกถูกโกหกถูกหักหลังก็บ่อย นี่ก็คือการคัดกรองให้สิ่งดี ๆ
มีค่าควรคู่กับวิถีชีวิตของเรา แน่ล่ะ เราแต่ละคนย่อมถูกจริตและอยู่ในกลุ่มก้อนกับผู้ที่มีทัศนคติตรงกัน
จะมีบ้างบางเวลาที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มอื่น ไม่นานก็ผ่านห่างหายล้างลากันไป เราไม่จำเป็นต้องเกาะยึด
เพราะนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เราแสวงหาเพื่อที่จะพบหนทางแห่งความสุข
หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ทำไมยิ่งนานวัน เพื่อน ๆ ที่เคยคบกันไปไหนมาไหนด้วยกัน
ถึงเริ่มลดลงเรื่อย ๆ หายไปทีละคนสองคน หรือบางครั้งอาจแทบไม่เหลือเลย บางทีเราก็ต้องมาทบทวนดูว่าเป็นเพราะตัวเราหรือเป็นเพราะวิถีทางของแต่ละคนเริ่มมีทางแยก
ทางไป ทางที่ต้องตัดสินใจกันมากขึ้น เริ่มจากตัวเราต้องย้อนดูว่าเราอาจจะมีพฤติกรรมอะไรที่เปลี่ยนจากเดิมหรือเปล่า
สร้างความไม่ชอบใจโอ้อวดบนโลกโซเชียลมากเกินไปไหม? เห็นแก่ตัวจนเกินงาม คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองมากจนเกินไป และเบียดเบียนผู้คน ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนาหรือเปล่า
นานวันเข้า ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนฝูงก็จะค่อย ๆ หายไป
ถ้าเป็นแบบนี้เราจะโดดเดี่ยวเดียวดายกลายเป็นคนไร้ความสุข แต่ถ้าเราจริงใจกับทุกผู้คนที่คบหา แม้วันเวลาจะพลัดพรากเพื่อนฝูงไป
เราก็ยังมีความทรงจำให้สุขใจได้ เราก็ยังมีวันคืนที่งดงามประทับใจอยู่เสมอ
ท้องถิ่นกลิ่นความสุข
ใช่หรือไม่
หลายคนเริ่มบ่นว่า การดำเนินชีวิตของคนเราในยุคปัจจุบัน ความสุขกำลังเลือนหายไป ทั้ง ๆ ที่เรามีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย
มีการติดต่อสื่อสารเพียงปลายนิ้วสัมผัส มีเงินทองให้จับจ่าย อาจจะเป็นเพราะคนเราไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต
ไม่รู้จักใช้และมองข้ามคุณธรรม ละเลยความงดงามที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง มีแต่ความสบาย แต่ไร้ซึ่งความสุขและความงดงาม
ชีวิตที่มุ่งสร้างแต่เปลือกภายนอก ก็จะได้เพียงเปลือกที่รอวันสูญสลาย หากในชีวิตของคนเราดำเนินไปด้วยคุณธรรม มองเห็นคุณค่าทุก ๆ วินาทีของชีวิต ไม่ปล่อยใจหมกมุ่นอยู่กับความสนุก
ความโลภ ความหลง เรียนรู้ที่จะมีศรัทธาและเชื่อมั่นในความรัก
ทำดีต่อทุกสิ่งต่อทุกคน สิ่งนี้แหละที่จะนำความสุขที่เคยหายไปให้กลับคืนมา
บางอย่างที่หายไปอาจจะเป็นเพราะการกระทำของเราต่อผู้อื่น หรือเป็นเพราะคนอื่นกระทำต่อเรา
ทุกคนย่อมมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น เป็นธรรมดาของวิถีชีวิตนี้ที่วันเวลาจะช่วยคัดกรองความงามและความสมดุล
เพื่อให้แต่ละคนมีความสุขบนหนทางตามน้ำพระทัย ตามอัตลักษณ์ที่พระเจ้าประทานมาให้ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมองหาและมองให้เห็นสัญญาณผ่านทางกาลเวลา
ผ่านทางผู้คนที่ผ่านพบ ผ่านทางความสัมพันธ์ ผ่านทางการกระทำของเราเองและของผู้คน
แม้กระทั่ง ผ่านทางการห่างหายสลายไปของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยหัวใจที่เปี่ยมคุณธรรม
ด้วยจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เราก็จะพบกับความเที่ยงแท้แห่งความสุขสันติตลอดไป
ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นเยี่ยงไร...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น