วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

ยิ้มเปลี่ยนโลก


ยิ้มเปลี่ยนโลก
ในวันที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเข้ามาทำงานแทนผู้คน มีเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว มีการสัญจรเดินทางได้อย่างง่ายดาย แต่กลับมีอีกหลายล้านคนยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นกับดักแห่งทุกข์ยากได้ ยังมีหลายคนไม่สามารถค้นพบความสุขตามที่ใฝ่ฝันได้ เพราะอะไรเล่า??? นี่เป็นโจทย์ที่ต้องทำการบ้านเพื่อจะได้นำไปแบ่งปันให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนแห่งหนึ่งประมาณ 50 คน ที่ต่างคนต่างทำงานตามหน้าที่ของตนเอง ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ค่อยได้มีเวลามานั่งสนทนาแบบสบาย ๆ ไร้กังวลด้วยกัน จึงได้คิดกิจกรรม เนื้อหา เพื่อให้ทุกคนได้รับอะไรกลับไปใช้ในชีวิตได้บ้าง โดยเลือกใช้หัวข้อ รู้คุณค่า เพิ่มความสุข


แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เตรียมไป ต้องปรับแผนรับกับความหลากหลายของอายุของผู้ร่วมกิจกรรม ต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ต้องใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ และสำคัญที่สุด ต้องเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขาให้ได้เสียก่อน จากการเริ่มต้นกิจกรรมจากง่าย ๆ ไปสู่กิจกรรมการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันหลายกิจกรรมทำสำเร็จในครั้งเดียว นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความประหลาดใจไม่ใช่น้อย อาจจะเป็นเพราะความซื่อสัตย์ซื่อตรงไม่คิดคดโกง ตั้งใจทำ มุ่งมั่นและร่วมมือร่วมใจอย่างจริงจัง ไม่มีอคติหรือทัศนคติเชิงลบ ทั้ง ๆ ที่กิจกรรมเหล่านี้เคยทำให้กับกลุ่มอื่นที่อาจจะดูมีความรู้ที่สูงกว่านี้ แต่กว่าจะบรรลุความสำเร็จต้องใช้เวลานานและต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นหมายความว่าบางทีความรู้ที่แต่ละคนมีมันกลายเป็นอุปสรรค กลายเป็นอคติ กลายเป็นความโอ้อวดและไม่ยอมกัน จึงเป็นกำแพงขวางกั้นความรักความสามัคคีของผู้คนไป


เมื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เริ่มมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะร่วมกัน มีความสำเร็จร่วมกัน โลกดูสดใสขึ้น ใช่หรือไม่ นี่คือคุณค่าที่แท้จริงแห่งความสุข และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไปแบ่งปันและได้รับสิ่งที่ดีงามกลับมา ทำให้หัวใจสดชื่นขึ้น ทำให้เห็นว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงง่ายนิดเดียว เพียงแค่ยิ้มโลกที่ว่าร้าย ๆ กลับกลายเป็นสวยงามและน่าอยู่ยิ่งขึ้น มันต่างจากโลกที่ต้องพึ่งแต่เทคโนโลยี ต้องอาศัยความก้าวหน้าทางการสื่อสารที่มักพบเจอแต่เรื่องร้าย ๆ โลกแคบลง ๆ และไม่น่าอภิรมย์ขึ้นในทุกวัน กลายเป็นสิ่งปลอมปนวนเวียนอยู่ในทุกเวลา ที่หาความจริงใจและซื่อตรงไม่ได้ ไร้หัวจิตหัวใจในการอยู่ร่วมกัน ไร้รอยยิ้มที่ส่งผ่านให้กัน วัน ๆ มุ่งแต่เรื่องส่วนตัว หาความสำเร็จสำราญใส่ตัวเองเพียงอย่างเดียว สิ่งรอบข้างหาได้ใยดี มีชีวิตเพียงเพื่อตัวรอดคือสุดยอดปรารถนา เฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง ที่เรืองรองเพียงเปลือก และตกในกระแสแห่งตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ค่อยฟังกัน โกงได้โกง เล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าได้ก็เอา รอยยิ้มจึงไม่มี ต่างคนต่างระแวงกัน ต่างคนต่างอิจฉา ชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยหัวใจรัก ไม่ได้มีจิตอาสาด้วยใจซื่อ ไม่ได้ช่วยเหลือส่วนรวมด้วยความจริงใจ ใบหน้าของผู้คนจึงหม่นหมอง คร่ำเครียด โรคซึมเศร้าระบาด นี่ใช่ไหมสังคมที่เรากำลังเป็นอยู่ 


ยิ่งในวันที่ทำกิจกรรมกันที่ชายหาด ทุกคนร่วมเล่นกันอย่างสนุกสนาน ให้ทำอะไรทำหมดหัวใจเด็กคืนกลับมา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องหยุดมอง หยุดเชียร์ตบมือให้กำลังใจ พวกเขาต่างก็มีรอยยิ้มกลับไป ด้วยเพราะความเบิกบานที่เห็นชายหาดแห่งนี้ ยิ้มหนึ่งส่งต่อเป็นสอง สาม สี่ ห้า และไปเรื่อย ๆ นี่เป็นห่วงโซ่แห่งความสุขที่หาที่ไหนไม่ได้ เงินทองเท่าไหร่ก็มิอาจจะมาซื้อขายกันได้ ความสุขแบบนี้สามารถสร้างได้ในทุกที่ เพียงแค่ยิ้มให้กัน โลกตรงหน้าเราก็เปลี่ยน 


และด้วยความบังเอิญในขณะที่กำลังจะเขียนเรื่องรอยยิ้ม ก็พบเรื่อง ๆ หนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นแถวสยามเป็นอย่างมาก นั่นคือ ดอกไม้หน้ายิ้ม Murakami flower ที่มีขายในราคาหลักพันกันเลยทีเดียว (อ้าว รอยยิ้มซื้อขายกันได้ด้วยเหรอ) หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม แค่เจ้าดอกไม้สีรุ้งหน้ายิ้มแฉ่ง ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ทำไมมันขายแพงมาก ตามข้อมูล ล่าสุด (24 กันยายน 2561) ซึ่งเจ้าดอกไม้ Murakami นั้น ออกแบบโดย ทาคาชิ มุราคามิ (Takashi Murakami) ชาวญี่ปุ่นนามสกุลของเขาก็คือชื่อเดียวกับเจ้าดอกไม้นั่นเอง ทาคาชิ มุราคามิ เคยกล่าวกับสำนักข่าว BBC ระบุว่า พวกเราชาวญี่ปุ่นเป็นชาติเดียวที่ประสบกับเหตุการณ์จริง ที่แสงแฟลชระเบิดปรมาณูทำให้ทุกอย่างหายไปในชั่วพริบตา สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มีพลังมากกว่าพระเจ้า เจ้าดอกไม้สีรุ้งยิ้มแฉ่งนี้ ก็เหมือนกับความรู้สึกในอดีต ความห่วงใย เหมือนกับว่า โอเค ! เรายอมแพ้ ! (ข้อมูล kapook.com) 
ยิ้มแบบดอกไม้ยิ้มนี้เป็นเพียงยิ้มตามค่านิยมตามกระแส ยิ้มที่มีการค้าขายแฝงอยู่ เป็นการเอารอยยิ้มบนคราบน้ำตามาสร้างมูลค่า แต่คุณค่าที่แท้จริงนั้นหายไปเพราะจะมีสักกี่คนที่ระลึกถึงความทุกข์ยากจากสงครามครั้งนั้น ใช่หรือไม่ ถ้าติดรอยยิ้มนี้แล้วไม่ยิ้มจะมีประโยชน์อันใดเล่า สู้เราติดรอยยิ้มบนใบหน้าเราไว้ เราก็จะได้รับรอยยิ้มกลับมา เป็นการเพิ่มความสุขให้คนอื่นได้ด้วยรอยยิ้ม ยิ้มให้คนอื่นได้โดยไม่ต้องรอให้ใครยิ้มให้ก่อน แล้วจะพบว่า รอยยิ้มเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่พิเศษจริง ๆ เพราะรอยยิ้มช่วยให้โลกนี้มีความสุข


ไม่มีความคิดเห็น: