สัญญาณแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลก
ในบ่ายวันอาทิตย์มีภารกิจที่ต้องเดินทางไปแถวสะพานซังฮี้
ชั่งใจอยู่นานว่าจะออกเดินทางไปอย่างไรดี มองดูท้องฟ้าก็สลัว ๆ
เดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาคือทางที่สะดวกสุด
และถ้ารีบไปรีบกลับก็น่าจะทันฝนฟ้าที่มักชอบตกในช่วงเย็น ๆ และเมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยก็นั่งเรือย้อนกลับมาท่าต้นที่วัดราชสิงขร
จากนั้นก็กลับเข้าบ้าน ระหว่างนั่งบนเรือพยายามมองดูท้องฟ้าอยู่หลายรอบ
บางช่วงมีแสงแดดทำให้เบาใจขึ้น ยังไงเสียก็ไม่เปียกปอนแน่นอน แต่แล้ว…เมื่อเดินมาถึงถนน
ท้องฟ้าข้างหน้ากลับมืดเขียวอย่างเฉียบพลัน ลมโชยเย็น ๆ ก็ยังปลอบใจตัวเองว่าต้องทัน
เพราะเกิดความมั่นใจในควารู้สึกมากเกินไป จนทำให้ละเลยต่อสัญญาณของธรรมชาติที่เตือนมา
เพียงถึงแค่ปากซอยทางเข้าบ้านฝนมวลใหญ่กระหน่ำไม่รั้งรอตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
วิ่งเข้าหาที่กำบังริมข้างทาง นึกย้อนว่าเราน่าจะเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนมาด้วย
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฝนตกทุกวัน และเวลาตกทีไรมักจะตกหนักในทุกวันนี้
ระหว่างยืนมองดูสายฝน
ปนกับความว่า...รู้ยังงี้นะ....
และก็คิดถึงเรื่องราวที่โลกวันนี้กำลังพบเจอกับวิฤกติทางธรรมชาติมากมายในหลายที่
ซึ่งบางครั้งธรรมชาติก็ส่งสัญญาณเตือนเราก่อนเสมอ
แต่เป็นมนุษย์เราที่มักคิดว่าสิ่งนั้นไร้ค่าไร้ประโยชน์สู้ความอวดเก่งของพวกเราไม่ได้
เรามีเครื่องตรวจสอบสภาพอากาศที่ทันสมัยและชาญฉลาด
แต่เท่าที่เห็นสัญญาณเตือนโลกเราเกิดขึ้นในหลาย ๆ ที่
ความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทำให้ในท้องที่แต่ละแห่งเริ่มประสบผลภัยเกินคาด
มีผู้รวบรวมไว้ในทวิตเตอร์ Nuncius_ธรรมชาติเปลี่ยนยุคไว้ว่า
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ : คลื่นความร้อน จีน ไต้หวัน : คลื่นความร้อน
พายุไต้ฝุ่น
ลาว : เขื่อนแตก อินเดีย :
คลื่นความร้อน
กรีซ : ไฟป่า ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ : ภัยหนาว
สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส : คลื่นความร้อน
สหรัฐฯ : ไฟป่า ภูเขาไฟ สุดท้ายที่จังหวัดน่านดินถล่ม สกลนคร นครพนม น้ำท่วม นี่แค่ “สัญญาณเตือน” เท่านั้น
ฉะนั้น อย่ารับรู้แบบผ่านเลย และอย่าประเมินอยู่กับความคุ้นชิน
ความอวดเก่งจนมองผ่านสัญญาณแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลก ใช่หรือไม่
บางทีคนเราก็มองข้ามสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เรามา มองไม่เห็นคุณประโยชน์
ตราบจนเมื่อวันเวลามาถึงตัว นั่นแหละจึงสำนึกย้อนกลับไปเสียดาย
วันหนึ่ง พระเจ้าได้เรียกเหล่าสรรพสัตว์มาทานมื้อค่ำ
หลังจากทานเสร็จ พระองค์ก็ได้หยิบปีกคู่หนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “เรามีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้แก่ทุกท่าน
หากท่านทั้งหลายชอบของขวัญชิ้นนี้ ก็จงหยิบมันขึ้นมาและวางไว้ที่บ่าของตัวเอง”
เมื่อสัตว์น้อยใหญ่ได้ยินว่าเป็นของขวัญก็พากันกรูเข้ามา
หมายที่จะหยิบของขวัญนั้น
ต่างผลักต่างดึงกันไปมาเพื่อที่จะเป็นคนแรกที่ได้ของขวัญนั้น
แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้นเป็นปีกคู่หนึ่ง
พวกมันต่างก็มองด้วยสายตาที่ผิดหวัง ต่างก็คิดเหมือนกันว่า
“หากเอาปีกอันหนักอึ้งคู่นี้ไว้บนบ่า
ไม่เหนื่อยตายก็เป็นเรื่องแปลกสินะ!”
สัตว์ทั้งหลายมองปีกคู่นั้นแล้วพากันส่ายหัวและเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม
นกน้อยที่ช้ากว่าเพื่อนเพิ่งเดินมาถึง มันมองปีกคู่นั้นและพลางคิดในใจ
“พระเจ้าจะหลอกพวกสัตว์อย่างพวกเราได้อย่างไร? แม้ปีกคู่นี้จะดูเหมือนหนักอึ้ง แต่มันอาจเป็นพรอันประเสริฐจากพระเจ้าก็เป็นได้”
เมื่อคิดดังนั้น
มันจึงหยิบปีกคู่นั้นแล้วแบกขึ้นบ่า แล้วก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น!
พอนกน้อยเริ่มขยับปีกเบาๆ
มันกลับไม่รู้สึกถึงความหนักและร่างของมันก็ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า สัตว์ตัวอื่น ๆ
เมื่อเห็นดังนั้น ต่างก็รู้สึกอิจฉาและรู้สึกเสียดาย สิ่งที่พวกมันคิดว่าเป็นตัวถ่วงและจะหน่วงชีวิต
กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้นกน้อยมีพลังเหนือกว่าสัตว์ทุกตัว
มนุษย์เรา
มักใช้ความรู้สึกของตนมาประเมินสิ่งที่ไม่คุ้นชินว่าสิ่งนั้นคงไม่ใช่สิ่งดีแน่ ๆ เราจึงใช้ความรู้สึกที่เคยผ่านพบมาประเมินสิ่งต่างๆ
โดยไม่ยอมเปิดปากไตร่ถามผู้มีความเชี่ยวชาญในแขนงหรือสาขานั้นๆ
เหมือนพวกสัตว์ทั้งหลายที่กล่าวมา เพราะพวกมันคิดว่าปีกเป็นของหนัก
จึงพลาดโอกาสที่จะโบยบินเป็นอิสระอยู่บนท้องฟ้าเหมือนนกน้อย Cr. Page นุสนธิ์บุคส์
การเห็นสัญญาณเตือนก่อนและเชื่อในสิ่งนั้น
ก็จะทำให้เรารอดพ้นจากความทุกข์ยากในชีวิตได้
แต่อีกนั่นแหละคนเราวันนี้มักมีความที่อยากจะอวดภูมิ อวดเก่งกันมาก
มองไม่เห็นคนรอบข้าง มองข้ามสิ่งเตือนรอบตน ไม่ได้ดั่งใจก็บ่น ๆ
เรามีอิสระที่ได้รับมาเหมือน ๆ กัน
แต่เรามักใช้เพื่อเรียกร้องจากคนอื่นแทนที่จะใช้เพื่อเสริมส่งกันและกัน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเตือนตนอย่าหลงใหลไปกับความคิดที่ว่าตัวข้าสุดยอดอยู่เลย
บางทีเราก็แค่เศษเสียวธุลีจักรวาล น้อมนบเคารพต่อสิ่งสร้างทุกสรรพสิ่งรอบตัว
แล้วทำความดีงามตามอิสระภาพที่เราได้รับมา….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น