วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

คนทำ(ธรรม)

คนทำ(ธรรม)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุต้องใช้บริการแท็กซี่อยู่เกือบจะทุกวัน แน่นอนเมื่อขึ้นไปแล้วการพูดคุยกันระหว่างคนขับกับผู้โดยสารย่อมมีไม่มากก็น้อย บางคันเมื่อพูดกันได้นิดหน่อยก็มักจะวกไปเรื่องการเมืองและวิพากษ์วิจารณ์คนโน้นคนนี้ ทางที่ดีก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ถึงที่สุดก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ อ่านข่าว เพราะใจหนึ่งก็รู้สึกว่า คนเรามักเลือกที่จะฟังความข้างเดียวแล้วก็นำมาพูดให้ดูว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเหนือกว่า เจ๋งกว่า ในสังคมก็คงเป็นแบบนี้กันมาก คือถนัดที่จะกล่าวว่าผู้อื่น เหมือนกับการดูกีฬาหน้าจอ นั่งดูข้างสนาม ตาดูหูฟังปากก็พร่ำบ่น ทำไมไม่เล่นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ คนดูพูดง่ายกว่าคนที่เล่นหรือคนที่ลงมือทำจริง คนที่อยู่ในสถานการณ์ย่อมเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อม ในสนามมีเวลาตัดสินใจน้อยนิด เพราะสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นมุมที่กว้างอย่างกล้องโทรทัศน์ ไม่ได้อยู่ในมุมที่จะเห็นทุกอย่าง เฉกเช่นการดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน คนที่กระทำการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นั้น บางครั้งบางหนมันก็มีปัจจัยในตัวมันเองมากมายเกินกว่าคนอื่นจะเข้าใจได้ แต่... คนเรามักเลือกที่จะเข้าใจในมุมที่ตัวเองมอง แล้วก็ใส่ความคิดเห็นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าผู้อื่น สังคมเรานี้จึงเต็มไปด้วยคำพูดลอย ๆ เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง สร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยคำพูดนั้นมันง่าย ถ้ากลายมาเป็นคนทำอาจจะเริ่มต้นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย


คนเราก็มักจะหลงในคำพูดที่ดี พูดเพราะ ๆ แล้วก็เชื่อตามได้ง่าย คนขับแท็กซี่คันหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า คนเราสมัยนี้เชื่อใจกันยาก เคยมีคนแก่คนหนึ่งเรียกให้ไปส่งแถวมีนบุรี เห็นห้อยพระเครื่องเยอะก็เลยคุยกันถูกคอ ตาลุงคนนั้นก็นำพระรุ่นเก่ามาก บอกว่าองค์นี้ได้เมื่อตั้งแต่ตอนอายุ 17 ตอนนี้ลุงอายุ 70 กว่าแล้ว คนขับก็ตาลุกวาวที่จะได้เห็นพระห้อยคอรุ่นเก่าแก่ ตาลุงก็เล่าถึงสรรพคุณไม่ว่าจะเป็นที่มา กรอบที่เลี่ยมลายเถาวัลย์เก่ามาก ถ้าเจอคนที่ถูกใจจะให้เช่า (ซื้อ) เก็บไว้ คนขับก็คำนวณในใจทันทีว่านี่น่าจะเป็นพระรุ่นเก่าที่มีอายุมากกว่า 60-70 ปีทีเดียว  ยังไม่ทันไรตาลุงก็ถามขึ้นมาทันทีว่า พ่อหนุ่มสนใจไหมล่ะ คุยถูกคอดีลุงจะให้เช่า (ซื้อ)  จะได้เก็บไว้บูชาเป็นศรีเป็นบารมี คนขับก็บอกว่าไม่มีเงินหมื่นเงินแสนที่จะเช่าบูชาพระเครื่องดี ๆ หรอก ตาลุงก็บอกว่า เห็นว่าเป็นคนดีมีเท่าไรล่ะ พันสองพันลุงก็จะให้ คนขับเล่าต่อว่า ผมมีติดตัวได้มาจากการขับมาทั้งวันอยู่ 600 บาท ตาลุงคนนั้นก็ทำเป็นเงียบดูเชิงสักพักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า สงสารคนดี ๆ อย่างนี้ มีเท่าไรก็เอามาแล้วกัน และค่าแท็กซี่ก็ไม่ต้องคิดลุงนะ (ค่ารถประมาณ 400) รวมแล้ว 1000 บาทพอดี ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องว่าวันนี้โชคดีได้พระเครื่องรุ่นดังรุ่นเก่ามาครอบครอง
จากนั้นก็แวะเข้าปั้มเติมแก๊ส ด้วยความบังเอิญเห็นเพื่อนคนขับแท็กซี่ 2 คนกำลังเอาพระเครื่องมาส่องดู และได้ยินว่ารุ่นนี้ได้มาจากลุงคนหนึ่งแกบอกว่ามีองค์เดียวที่เหลืออยู่ อีกคนก็บอกว่าได้มาเหมือนกัน แล้วทั้งสองก็นำมาส่องดู ถึงบางอ้อ ว่าถูกหลอก คนขับก็ใจแป้วเลย เข้าไปร่วมวงสนทนาเอาพระที่เพิ่งได้มาให้เพื่อนดู แม่เจ้า!!!! เหมือนกันเป๊ะ สองคนนั้นถูกหลอกมาเหมือนกันหมดไปคนละ 1,500 บาท และก็คงมีอีกหลายรายที่โดนแบบนี้ คนขับบอกว่านี่ขนาดผมดูพระเครื่องพอเป็นนะ ยังถูกคำพูดที่น่าเชื่อถือของตาลุงคนนั้นเล่นงาน


ใช่หรือไม่ ในสังคมเราวันนี้ มักจะเชื่อคำพูดมากกว่าการกระทำ เราจึงกลายเป็นคนที่พูดทุกเรื่อง จริงเท็จไม่รู้ แค่เรื่องที่เพียงได้ยินได้ฟังมา จำเขามาพูดต่อเป็นฉาก ๆ เป็นเรื่องเป็นราวสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง ยิ่งผนวกกับโลกที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทำให้เราตกเป็นทาสเป็นเหยื่อของปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบไม่รู้ตัว กล่าวคือ เวลาที่เราอ่าน เราค้นหาเรื่องอะไร ชอบดูหนังฟังเพลงสไตล์ไหน เสื้อผ้าเครื่องใช้ที่เราชอบค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็จะถูกเก็บข้อมูล และสิ่งที่เราชอบเราใช้บ่อย ๆ ก็จะถูกนำมาเสนอในโซเชี่ยลให้เราได้รับรู้ ขึ้นมาให้เราอ่านแบบอัตโนมัติ และเราก็จะได้รับข้อมูลในสิ่งที่เราเลือกอยู่อย่างเดียว ทำซ้ำย้ำบ่อย  ๆ ข้อมูลสิ่งเหล่านั้นก็จะเข้าไปฝังในสมอง ใครจะให้ข้อมูลอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ หรือเมื่อเจอคนกลุ่มเดียวกันก็จะยึดโยงกลายเป็นชุมชนที่สุดโต่งไปในที่สุด แล้วก็ปกป้องกันด้วยคำพูดที่ดูเหมือนว่าเหนือชั้น ว่าเก่ง ว่าเท่ห์ เราจะเห็นได้บ่อยครั้งในโลกเสมือนจริง



เราต้องตระหนักที่จะช่วยกันสร้างคนดีคนมีคุณธรรม ทำอะไรทำจริง ๆ มากกว่าคนที่เอาแต่พูด เอาดีใส่ตัวเอาร้ายป้ายใส่คนอื่น เพราะโลกวันนี้ก้าวสู่ความขัดแย้งที่มาจากปากเก่งของคนมากเกินไปแล้ว และด้วยความจริง คนดี ๆ ที่มักทำมากกว่าการพูด คำมั่นสัญญาจะยังเกิดผลต้องมาจากการกระทำ หาใช่จบเพียงคำพูดที่ให้ไว้ต่อกัน คนที่มีคุณธรรมยึดมั่นในหนทางธรรม มักให้ความสำคัญต่อการกระทำมากกว่า ต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง และมีวิจารณญาณ อาศัยการไตร่ตรองชีวิตบ่อยๆ อ่านกาลเวลา อ่านคน อ่านพระวาจา และทำในสิ่งที่จิตสำนึกบอกว่า “ดี” หากทำไม่ได้จง “เงียบ” และรอคอยเวลาที่เหมาะสมกับเรา ต้องเสริมสร้างปรีชาญาณให้เข้มแข็ง ไม่ตกเป็นทาสของข้อมูล ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของโลกวัตถุ รักษาชีวิตพระชีวิตจิตให้แข็งแกร่ง แล้วลงมือทำดีเท่าที่ทำได้ ลงมือทำ หยุดใช้ปากบ่น คนเราก็เท่านี้แค่ขี้ฝุ่นธุลีจักรวาล ใจที่ยิ่งใหญ่ดีกว่าเป็นคนยิ่งใหญ่ ปลายทางของเราคือความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์

ไม่มีความคิดเห็น: