ควัน
ระหว่างเดินกลับบ้าน (ตึกแถว)
ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยกลุ่มควันที่มาจากการเผากระดาษเงินกระดาษทอง
จากเทียนธูปที่จุดไว้หน้าบ้านของแต่ละหลังในวันสารทจีน (ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 5
กันยายน) บ้านบางหลังยังตั้งของกิน เครื่องดื่มไว้มากมาย
เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้คิดขึ้นมาว่า ความเชื่อแบบนี้คืออะไร
มีความเป็นมาอย่างไร ?
ก่อนที่จะไปลองหาข้อมูลนั้น มีสิ่งที่สังเกตคือ“ควัน” ที่เป็นสัญลักษณ์ของการนำทางไปสู่ความรอด เพราะควันมักลอยสูงขึ้นสู่เบื้องบน
หลายความเชื่อจึงใช้ควันที่ได้จากเผาไหม้ของสิ่งต่าง ๆ นำมาเป็นสิ่งแทนการสักการะถวายความเคารพอย่างสูงสุด
และจากการได้อ่านข้อมูลวันสารทจีนที่พอจะสรุปใจความได้ดังนี้
วันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย
ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้
ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเองและจากตรงนี้เองคงมาจากตำนานโบราณที่เล่าขานกันมาอีกว่า
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” เป็นคนเคร่งครัดในศาสนามาก
ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์
ครั้งหนึ่งนางได้ทำการกลั่นแกล้งผู้ที่ถือศีลกินเจ ด้วยการเชิญมากินเจที่บ้าน
แล้วนางก็แอบใส่น้ำมันหมูลงในน้ำแกง เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจี ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ
จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา
แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง
ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส
มู่เหลียนจึงขอรับโทษแทน โดยมีข้อแม้นว่าจะต้องท่องคัมภีร์และบทสวด
เพื่อเรียกเซียน (เทวดา)
ทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้นจากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่าง ๆ
โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์และถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้
โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน
และกระดาษเงินกระดาษทองไปวางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก
มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมาใกล้ที่พักของตน(สรุปย่อจาก
sanook.com)
เมื่ออ่านข้อมูลนี้จบทำให้เราคิดถึงความเป็น
“สหพันธ์นักบุญ” ตามความเชื่อของเราที่เราต้องสวดภาวนา ขอมิสซา
ระลึกถึง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอยู่เสมอ ๆ แม้ว่าร่างกายจะไม่อยู่ในโลก แต่ความทรงจำในความดีงามที่เรามีต่อกันตอนมีชีวิตอยู่นั้น
คือ สิ่งที่จะยึดเหนี่ยวเราให้เป็นหนึ่งเดียวตลอดไป และไม่ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายสักขนาดไหน
ความสัมพันธ์แบบนี้จะไม่มีวันสูญสลาย
ความเชื่อต่อบรรพบุรุษของผู้คนในทุกชาติทุกภาษาก็จะยังคงอยู่ ความเชื่อทางจิตวิญญาณมิอาจจะถูกสิ่งที่เจริญหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่มาทดแทนได้เลย
ควันก็ยังเป็นควันที่ล่องลอยสู่เบื้องบนเสมอ แม้ว่าวันนี้เราจะมีควันเสีย ควันดำ
มากเหลือเกิน ที่ล้วนแล้วมาจากความเห็นแก่ตัว
มาจากความมักใหญ่ใฝ่สูงและความต้องการที่จะเอาชนะคะคานกัน
ยิ่งเห็นข่าวการขู่ ข่ม ของประเทศที่กำลังขัดแย้งกันในเวลานี้
ด้วยการโชว์ศักยภาพของอาวุธที่ร้ายแรง
อาวุธที่สามารถทำลายล้างให้ประเทศอริศัตรูจมหายไปเลยนั้น ยิ่งทำให้รู้สึกว่า
โลกเรากำลังเข้าสู่ภาวะของความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน คนเราวันนี้ขาดเมตตาต่อกัน
ใจร้อนใจเร็ว ชอบเอาชนะ แพ้บ้างไม่เป็น ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง
และอยากจะให้ทุกคนเป็นอย่างที่เราต้องการ คิดง่าย ๆ เลย หากเกิดภาวะสงครามที่ใช้อาวุธร้ายแรงต่อสู้กัน
และยิงใส่กัน โลกนี้จะถูกปกคลุมด้วยควันดำทะมึน
แล้วโลกเราจะมีใครมาระลึกถึงกันอีกเล่า เพราะในเมื่อวันนั้นทุกคนคงสูญหายไปพร้อม ๆ
กับโลกใบนี้ อย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย เรายังอยากเห็นควันน้อย ๆ ค่อย ๆ
ล่องลอยตามลม
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
สายควันน้อย ๆ
ล่องลอยที่เห็นนำมาซึ่งสิ่งแทนใจของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น
คงแตกต่างจากกลุ่มก้อนควันดำก้อนใหญ่ ที่มาจากอาวุธสงคราม ที่มาจากปล่องท่อของโรงงานอุตสาหกรรม
มาจากเครื่องยนต์กลไก
ที่ล้วนแต่นำความเดือดร้อนมาให้ผู้คนอื่นอย่างไร้ความรับผิดชอบ ใช่หรือไม่
ก็ไม่ต่างจากการดำเนินชีวิตของเรา เราจะเลือกเป็นควันที่ลอยสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
และให้ผู้คนได้ระลึกถึงคุณงามความดีในวันที่ไม่มีร่างอยู่บนโลกนี้
หรือเราจะเป็นควันพิษที่คอยแต่จะทำลายผู้อื่นอยู่ร่ำไป สารทจีน
หรือการระลึกถึงผู้ตายไปแล้วล้วนสะท้อนให้คนเราเห็นว่า
เมื่อมีชีวิตอยู่ควรกระทำตัวให้เป็นบรรพบุรุษที่ดี ให้ลูกหลานเคารพ
และกราบไหว้บูชาแม้ยามจากไป ยังดีกว่าจะรอให้คนทั่วไปมาเซ่นไหว้ตามข้างทาง
หรือถึงขั้นแม้แต่วิญญาณก็ยังไม่มีใครคิดถึงเลย มาร่วมกันทำวันนี้ให้งดงามด้วยการสร้างสันติสุขในจิตใจของเราแต่ละคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น