เหนือกว่าปัญญาประดิษฐ์
โลกแห่งวิวัฒนาการก้าวหน้าต่อไปอย่างมิอาจจะหยุดรั้งเอาไว้ได้
จากที่เราไม่เคยคิดว่าโลกที่กว้างไกลจะมาอยู่ใกล้ในอุ้งมือเรา
โดยมีโทรศัพท์มือถือไร้สายเป็นตัวเชื่อมต่อ อาศัยคลื่นเป็นสิ่งนำทาง
สิ่งที่ไม่เห็นก็ได้เห็น จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแล้ว
หลายคนมักมีคำถามต่อไปว่า “แล้ววันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ระบบการสื่อสารจะเป็นยังไง โฉมหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นเหมือนในหนังแนววิทยาศาสตร์หรือไม่
จะมีหุ่นยนต์มาทำหน้าที่แทนคนเป็นหรือเปล่า
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งเรามีเครื่องมือทำหน้าที่ทุกอย่างแทนมนุษย์เรา....” ในเรื่องนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในโลก ต่างได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงวันข้างหน้ากันอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ
(AI:artificial intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์) ซึ่งมีแววว่าจะเกิดขึ้นจริง และจะมาทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างแทนมนุษย์
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ TESLA
รถยนต์ที่ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและไร้คนขับ ได้กล่าวว่า“ปัญญาประดิษฐ์เป็นกรณีที่มีความจำเป็นในการที่มนุษย์จะต้องทำงานเชิงรุกในการออกกฏหมายและระเบียบต่าง
ๆ มา เพื่อกำกับการพัฒนา เพราะถึงแม้จะมีการออกกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ
เพื่อกำกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ก็ตาม มันก็จะสายเกินไปแล้ว”
บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์
Microsoft มองว่า ปัญญาประดิษฐ์ถูกพัฒนาก้าวหน้าเร็วกว่าที่มนุษย์ควบคุมได้มาก เขายังแสดงความกังวลว่า
ไม่เข้าใจว่าทำไมหลาย ๆ คนถึงไม่กังวลเรื่องนี้ เขายังได้ทำนายอนาคตของ AI
ว่าอีก 10 ปี AI จะสามารถทำได้ทั้ง มองเห็น
พูด เข้าใจ เคลื่อนย้ายสิ่งของ และแปลภาษาได้อย่างยอดเยี่ยม
ทั้งจะถูกใช้งานอย่างกว้างขวางด้วย
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
แม้กระทั่ง Stephen Hawking นักฟิสิกส์ทฤษฎี (เขามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายสิบปี
ปัจจุบันต้องสื่อสารโดยใช้อุปกรณ์สังเคราะห์เสียงพูด ควบคุมผ่านกล้ามเนื้อมัดเดียวในแก้ม) ก็เป็นหนึ่งในผู้ออกมาเตือนถึงความน่ากลัวในอนาคตของ AI อยู่หลายต่อหลายครั้ง เขามองว่า
AI เป็นสิ่งสำคัญต่ออนาคตของอารยธรรมและสายพันธุ์มนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้นมันอาจจะเป็นทั้งสิ่งที่ดีที่สุดหรือเลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษยชาติก็ได้
เขาเองก็เห็นถึงประโยชน์ของ AI เพราะมันเองก็มีส่วนช่วยในอุปกรณ์การสื่อสารของเขาเอง
โดยเครื่องนี้จะรับรู้สิ่งที่เขาคิดและนำเสนอคำที่เขาอาจจะเลือกใช้
ซึ่งทำให้เขาได้สัมผัสถึงความหวาดกลัวจากผลของ AI ที่อาจอยู่เหนือความคิดมนุษย์ได้ เขายังมองอีกว่า
มนุษย์ถูกจำกัดด้วยวิวัฒนาการทางชีวภาพที่เชื่องช้า ทำให้ไม่อาจเอาชนะ AI และถูกแทนที่ได้ ทั้งเขายังคิดเหมือน Musk ที่ว่า
AI อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
Mark Zuckerberg ผู้ให้กำเนิด Facebook มองว่า AI ยังไงก็ถูกพัฒนาเพื่อช่วยเหลือ และมีแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตมนุษย์ดีขึ้น
เขาเห็นว่าแนวคิดเรื่องวันสิ้นโลกเป็นความคิดแง่ลบมาก ๆ เขายังโพสต์ในเฟซบุ๊กอีกว่า
การที่เขามอง AI ในแง่ดีนั้นเป็นเพราะมันช่วยพัฒนางานวิจัยในสาขาต่าง
ๆ มากมาย ตั้งแต่การวินิจฉัยโรคเพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น
การพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองเพื่อให้เราปลอดภัย แต่เมื่อเร็วๆ นี้ Facebook
เกิดการปิดระบบปัญญาประดิษฐ์ เมื่อทางนักวิจัยของ Facebook พบว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นนั้นเริ่มพูดคุยกับระบบปัญญาประดิษฐ์ด้วยกันเอง
เข้าใจกันเอง โดยใช้ภาษาที่ประดิษฐ์ขึ้นมากันเอง และมนุษย์ไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้น
ระบบได้ประดิษฐ์กันขึ้นมาเอง เพื่อสื่อสารกันเอง ได้ Code ที่ระบบ
AI เหล่านี้สร้างมาด้วยตนเอง มีประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างระบบ
AI ได้ดีกว่าคนและดีกว่าภาษาที่มนุษย์ใช้พูดคุยกับ AI
เสียอีก
เมื่อได้นั่งอ่านข้อมูลและความคิดเห็นของคนต่าง
ๆ ทำให้นึกย้อนไปถึงคำถามหนึ่งที่เคยมีคนตั้งคำถามว่า “พระเจ้ารู้ใช่ไหมว่า
เมื่อสร้างมนุษย์มาแล้วจะเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย แล้วทำไมยังทรงสร้างเราขึ้นมา” ใช่หรือไม่ สิ่งนี่เองจะทำให้เราเข้าใจพระเจ้าได้มากขึ้น
ทุกสิ่งล้วนดีแต่เราต้องรู้จักสร้าง รู้จักใช้ ในขณะที่เรามนุษย์มีปัญญาเพื่อสร้างปัญญาประดิษฐ์ขึ้น
แล้วไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร? เพื่อควบคุมมันได้ แต่พระเจ้าสร้างเรามาให้มีปัญญากลับใส่หัวใจที่ประเสริฐไว้ในตัวเรา
เพื่อให้เราสามารถควบคุมตัวเองและคนอื่น ๆ ให้อยู่ในกรอบที่เรียกว่าเสรีภาพได้
แล้วเราได้ใช้หัวใจดวงนี้มากน้อยแค่ไหน เราเคยมองหน้าแล้วเข้าถึงจิตใจคนอื่นมากน้อยเพียงใด?
หรือ เราต้องการเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่อยู่เหนือคนอื่น โดยไร้หัวใจ
ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล อย่าลืมว่าเหนือกว่าปัญญาประดิษฐ์คือหัวใจประเสริฐ ที่จะทำให้เรามองเห็นความดีงาม
ทำให้เราเห็นความรักความเมตตา ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเราอยู่ทุกวัน
สิ่งนี้ต่างหากที่จะชุบชูชีวิตของเราให้ก้าวเดินทางไปบนหนทางธรรมและมีความสุขในทิวาราตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น