ใยนี้ที่ไม่เคยขาด
“หิวหรือยัง จะกินอะไร กินก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่า???” และอีกหลายคำถามที่ล้วนแต่เป็นเรื่องการกินทั้งนั้น นี่เป็นคำถามจากแม่ในทุก
5 นาที เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้กลับไปอยู่กับแม่ อาการย้ำคิดย้ำทำของแม่มีมาตั้งแต่เมื่อ
3 ปีที่แล้ว แรก ๆ พวกเราลูก ๆ ก็รู้สึกรำคาญที่แม่ชอบวุ่นวาย
แต่หลังจากเรียนรู้อาการของโรคที่แม่เป็น เราก็ทำใจยอมรับ เข้าใจ
สงสารแม่และรักแม่มากยิ่งขึ้น ใครเลยเล่าจะมีความห่วงใยใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนแม่ของเรา
แม่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอะไรให้ลูก ๆ
หลาย ๆ คนคงมีความประทับใจในแม่ของตัวเองแตกต่างกันออกไป
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ แม่ของเรานั้นมักห่วงใยเราตลอดเวลา มีเพียงการแสดงออกเท่านั้นที่ต่างกันออกไป
ย้อนกลับในวัยเด็ก ในวันที่แม่ต้องลำบากเลี้ยงดูลูก 6-7 คน แม่ยอมทำทุกอย่างจริง ๆ
ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม ยอมอายไปยืมเงินเพื่อส่งลูกให้เล่าเรียน
ยอมออกรับแทนในวันที่เราทำจานข้าวหล่นแตก เพื่อไม่ให้พ่อโมโห
จากวันนั้นยันวันนี้คำว่าห่วงใยจึงไม่ห่างหายไปจากใจแม่ สายใยแม่ไม่เคยขาดจากเรา
ในบทความ “การแสดงครั้งที่ดีที่สุดของผม” โจวซิงฉือ เขียน Zhengquanzhi Top แปล ได้บอกเล่าความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก
และสิ่งที่ลูก ๆ ควรเข้าใจและเห็นใจแม่อย่างที่สุดด้วยเช่นกัน
ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ
ศาลตัดสินให้ผมกับพี่สาวและน้องสาวอยู่กับแม่ ช่วงปี 1968 ที่ฮ่องกง
แม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความยากลำบาก แม่ต้องทำงาน 2 ที่ แต่โชคดีที่ลูก ๆล้วนเป็นเด็กดี
โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะแนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของแม่
แต่มีแค่เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูก
ๆ กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรแค่ไหน
แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว
หรือไม่ก็เพราะนานๆจะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ
ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน
ไม่เคยแย่งผมกินเลย แต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น
แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน
แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิผมหลายครั้ง
แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร
แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็ก ๆ
แต่มีครั้งหนึ่ง แม่โกรธจริง ๆ และลงมือทำโทษผมด้วย ครั้งนั้น
แม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2
น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม
พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำท่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย
ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง
จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้
หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่
จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเองคืนวันนั้น แม่เข้ามากอดผม
แล้วถามว่า “ยังเจ็บมั๊ย? วันหลังจะซนอีกมั๊ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่
แต่แอบยิ้มพร้อมบอกแม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟังและบอกว่า
“ตอนเด็ก ๆ ผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน
ไม่รู้จักคุณค่าของเลย” ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ไม่ครับแม่
ผมรู้ว่าแม่ลำบาก แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็ก ๆ
มีของกินดี ๆ อะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด
ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า
“แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าเป็นเด็กดีทุกเรื่อง
ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย” ผมกับแม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม
ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็แอบเสียน้ำตาด้วย ผมเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง
แต่การแสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น
เพราะเป็นการแสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากแต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ
แม่ของผม
โลกนี้งดงามเสมอที่มีแม่ที่ช่วยประครองให้ความดีงามเกิดขึ้น
สายใยแห่งครอบครัว ความห่วงใยของแม่จะเป็นเครื่องช่วยขัดเกลาหัวใจของลูก ๆ ทุกคน
ให้อ่อนโยนและมีเมตตา ความรักของแม่ย่อมส่งผ่านความงดงามมาสู่ผู้เป็นลูกทุกคน
และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไป การเปลี่ยนแปลงในสังคมจะมีมากขนาดไหน
สายใยความห่วงหาอาทรของแม่จะไม่มีวันเปลี่ยนและห่างหายไป
ขอสดุดีแด่แม่ทุกคนบนโลกนี้.....
“หิวหรือยัง จะกินอะไร กินก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่า???” และอีกหลายคำถามที่ล้วนแต่เป็นเรื่องการกินทั้งนั้น นี่เป็นคำถามจากแม่ในทุก
5 นาที เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้กลับไปอยู่กับแม่ อาการย้ำคิดย้ำทำของแม่มีมาตั้งแต่เมื่อ
3 ปีที่แล้ว แรก ๆ พวกเราลูก ๆ ก็รู้สึกรำคาญที่แม่ชอบวุ่นวาย
แต่หลังจากเรียนรู้อาการของโรคที่แม่เป็น เราก็ทำใจยอมรับ เข้าใจ
สงสารแม่และรักแม่มากยิ่งขึ้น ใครเลยเล่าจะมีความห่วงใยใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเหมือนแม่ของเรา
แม่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอะไรให้ลูก ๆ
หลาย ๆ คนคงมีความประทับใจในแม่ของตัวเองแตกต่างกันออกไป
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ แม่ของเรานั้นมักห่วงใยเราตลอดเวลา มีเพียงการแสดงออกเท่านั้นที่ต่างกันออกไป
ย้อนกลับในวัยเด็ก ในวันที่แม่ต้องลำบากเลี้ยงดูลูก 6-7 คน แม่ยอมทำทุกอย่างจริง ๆ
ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม ยอมอายไปยืมเงินเพื่อส่งลูกให้เล่าเรียน
ยอมออกรับแทนในวันที่เราทำจานข้าวหล่นแตก เพื่อไม่ให้พ่อโมโห
จากวันนั้นยันวันนี้คำว่าห่วงใยจึงไม่ห่างหายไปจากใจแม่ สายใยแม่ไม่เคยขาดจากเรา
ในบทความ “การแสดงครั้งที่ดีที่สุดของผม” โจวซิงฉือ เขียน Zhengquanzhi Top แปล ได้บอกเล่าความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก
และสิ่งที่ลูก ๆ ควรเข้าใจและเห็นใจแม่อย่างที่สุดด้วยเช่นกัน
ตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน ผมเพิ่งอายุ 7 ขวบ
ศาลตัดสินให้ผมกับพี่สาวและน้องสาวอยู่กับแม่ ช่วงปี 1968 ที่ฮ่องกง
แม่เลี้ยงดูเรา 3 พี่น้องด้วยความยากลำบาก แม่ต้องทำงาน 2 ที่ แต่โชคดีที่ลูก ๆล้วนเป็นเด็กดี
โดยเฉพาะผมตั้งใจเรียนมาก สอบได้คะแนนดีตลอดทำให้เป็นลูกรักของแม่
แต่มีแค่เรื่องเดียวที่แม่เป็นห่วงพวกเรา คือ เรื่องอาหารการกิน ลูก
ๆ กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่ว่ากระเบียดกระเสียรแค่ไหน
แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเรากินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะผมถูกตามใจจนเคยตัว
หรือไม่ก็เพราะนานๆจะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ
ผมก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน
ไม่เคยแย่งผมกินเลย แต่ว่าผมกินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
ผมยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น
แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่ผมคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน
แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิผมหลายครั้ง
แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ผมไม่มีปัญหาอะไร
แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็ก ๆ
แต่มีครั้งหนึ่ง แม่โกรธจริง ๆ และลงมือทำโทษผมด้วย ครั้งนั้น
แม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2
น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม
พอยกขึ้นโต๊ะผมก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำท่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย
ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดผมสิบกว่าครั้ง
จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวผมออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้
หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่
จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเองคืนวันนั้น แม่เข้ามากอดผม
แล้วถามว่า “ยังเจ็บมั๊ย? วันหลังจะซนอีกมั๊ย?” ความจริงผมยังเจ็บอยู่
แต่แอบยิ้มพร้อมบอกแม่ไปว่า “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”
สิบกว่าปีให้หลัง ผมกับแม่ไปออกรายการโทรทัศน์ แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟังและบอกว่า
“ตอนเด็ก ๆ ผมซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน
ไม่รู้จักคุณค่าของเลย” ผมย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ไม่ครับแม่
ผมรู้ว่าแม่ลำบาก แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็ก ๆ
มีของกินดี ๆ อะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด
ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า
“แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าเป็นเด็กดีทุกเรื่อง
ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย” ผมกับแม่กอดกันร้องไห้อย่างไม่อายผู้ชม
ผมเห็นว่าผู้ชมหลายคนก็แอบเสียน้ำตาด้วย ผมเป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับหนังมากมายหลายเรื่อง
แต่การแสดงที่ดีที่สุดของผมก็คือ ตอน 7 ขวบครั้งนั้น
เพราะเป็นการแสดงที่ออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากแต่มีผู้ชมเพียงคนเดียว ก็คือ
แม่ของผม
โลกนี้งดงามเสมอที่มีแม่ที่ช่วยประครองให้ความดีงามเกิดขึ้น
สายใยแห่งครอบครัว ความห่วงใยของแม่จะเป็นเครื่องช่วยขัดเกลาหัวใจของลูก ๆ ทุกคน
ให้อ่อนโยนและมีเมตตา ความรักของแม่ย่อมส่งผ่านความงดงามมาสู่ผู้เป็นลูกทุกคน
และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไป การเปลี่ยนแปลงในสังคมจะมีมากขนาดไหน
สายใยความห่วงหาอาทรของแม่จะไม่มีวันเปลี่ยนและห่างหายไป
ขอสดุดีแด่แม่ทุกคนบนโลกนี้.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น